โรคน้ำเกินในโพรงสมอง เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ แต่คนส่วนมากไม่ค่อยรู้จัก และมักจะคิดไปเอง
การแสดงอาการของผู้ป่วยที่เป็นโรคน้ำเกินในโพรงสมองนั้น เกิดจากความชรา และการเสื่อมของสังขาร จึงทำให้มีความผิดปกติของร่างกาย เช่น
ไม่สามารถเดินได้ ความจำไม่ดี ปัสสาวะราดไม่รู้ตัว แต่โรคน้ำเกินในโพรงสมอง หากรู้ก่อน ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากไม่ได้มีความรุนแรงมากนัก
ใครที่มีผู้สูงอายุในครอบครัว และสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้หรือเปล่า ก็ต้องมาทำความรู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้นกันเลย
โรคน้ำเกินในโพรงสมอง คืออะไร?
โรคน้ำเกินในโพรงสมอง (Normal Pressure Hydrocephalus – NPH) เป็นโรคที่สมองมีการดูดซึมน้ำที่ทำหน้าที่ในการหล่อเลี้ยงสมอง
และไขสันหลังผิดปกติจนทำให้มีปริมาณน้ำคั่งในสมองเยอะเกินจำเป็น เพราะโดยปกติแล้ว สมองของมนุษย์นั้น
เป็นก้อนเนื้อที่ภายในจะมีโพรงสำหรับน้ำ ไม่ได้เป็นก้อนเนื้อที่เป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงเพียงอย่างเดียวอย่างที่เข้าใจกัน
โดยน้ำในส่วนนี้ จะทำหน้าทำในการถ่ายเทสารเคมีหลาย ๆ ชนิดที่มีผลต่อสมอง และกระดูกสันหลัง
รวมทั้งยังช่วยรองรับแรงกระเทือนที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่สมองและไขสันหลังถูกกระทบกระแทกด้วย (จะสังเกตได้ว่า
ผู้ป่วยบางคนที่มีอาการทางสมองหรือระบบประสาท แพทย์มักจะวินิจฉันว่าสารเคมีในสมองไม่เท่ากัน ส่วนหนึ่งก็เกิดจากน้ำในที่นี้ด้วย)
โรคนี้มักจะพบในผู้สูงอายุมากที่สุด ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ โพรงน้ำก็จะยิ่งโตมากขึ้น และจะไปเบียดบังเนื้อสมองส่วนอื่น ๆ
จนเป็นเหตุให้เกิดความผิดปกติเกี่ยวกับการควบคุมร่างกาย และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมได้
สาเหตุของโรคน้ำเกินในโพรงสมอง
แม้ว่าแพทย์จะยังสรุปสาเหตุของการเกิดโรคน้ำเกินในโพรงสมองไม่ได้อย่างแน่ชัด แต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่า
อาจจะเกิดจากความเสื่อมสภาพของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย เนื่องจากมักพบโรคนี้กับผู้ป่วยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
และอีกสาเหตุก็คือความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับระบบสมอง จึงเป็นเหตุให้เกิดโรคน้ำเกินในโพรงสมองขึ้น
เมื่อพบว่าผู้สูงอายุในบ้านมีปัญหาเกี่ยวกับเดิน ร่วมกับมีปัสสาวะราดบ่อย ๆ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที เพราะมีโอกาสเข้าข่ายการเป็นโรคนี้สูง
อาการของโรคน้ำเกินในโพรงสมอง
มีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยกว่า 15-20% ที่ถูกละเลยในการรักษาโรคน้ำเกินในโพรงสมอง โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่อยู่ตามบ้านพักคนชรา
และสถานรับเลี้ยงต่าง ๆ เพราะคนทั่วไปมักจะเข้าใจไปเองว่าเป็นโรคของคนแก่ที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้
โดยทั่วไปแล้วโรคน้ำเกินในโพรงสมอง มีอาการที่สามารถสังเกตได้ดังต่อไปนี้
- มีการเดินที่ผิดปกติไปจากเดิม เช่น เดินช้าลง หรือจังหวะการเดินดูผิดปกติไป หากมีอาการรุนแรงอาจเดินไม่ได้เลย
- มีอาการยกขาไม่ลอยจากพื้นดิน ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าขาหนักอยู่ตลอดเวลา หรือเหมือนมีอะไรดูดให้เท้าติดอยู่กับพื้น จนต้องเดินซอยเท้าถี่ ๆ
- ปัสสาวะราดแบบไม่รู้ตัว ก่อนหน้านี้อาจจะมีสัญญาณเตือนก่อนเรื่องไม่สามารถอั้นปัสสาวะได้ จนต้องรีบเข้าห้องน้ำเมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะ แต่หลัง ๆ ปัสสาวะราดเลย
- มีปัญหาเกี่ยวกับระบบความจำ อาจจะเป็นร่วมกับการเฉื่อยชา ซึมเศร้า ไม่สนใจโลกภายนอก คิดช้า ทำช้า
วิธีรักษาโรคน้ำเกินในโพรงสมอง
ถึงแม้ว่าอาการโดยทั่วไปของผู้ป่วยโรคน้ำเกินในโพรงสมองจะดูรุนแรงอยู่ในระดับหนึ่ง แต่สามารถรักษาให้หายได้
โดยวิธีการผ่าตัดฝังท่อระบายน้ำในช่องท้อง และไขสันหลัง เพื่อระบายน้ำออกจากร่างกาย โดยท่อระบายน้ำที่จะมีการผ่าตัดนี้
มีด้วยกัน 2 ชนิด คือแบบปรับแรงดันได้ และปรับแรงดันไม่ได้ ซึ่งแพทย์จะเลือกใส่ให้ตามอาการและความเหมาะสมของผู้ป่วย
ส่วนเรื่องของการผ่าตัดนั้น แม้จะฟังดูน่ากลัว เหมือนกับเอาท่อระบายน้ำเข้าไปอยู่ในสมอง แต่ความจริงแล้ว
การผ่าตัดฝังท่อระบายน้ำนี้ เป็นการผ่าตัดที่มีแผลเล็กมาก ๆ จนแทบไม่มีเลือดออกเลย ใช้เวลาผ่าตัดเพียงแค่ 1 ชั่วโมงหรือน้อยกว่า
แต่อาจจะต้องระวังในเรื่องของโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากความอ่อนแอของผู้ป่วยเอง เมื่อผ่าตัดแล้ว ผู้ป่วยอาจจะต้องทำการพักฟื้น 1-2 วัน
ก่อนที่แพทย์จะนัดมาตัดไหมอีกครั้งในภายหลัง แต่ถ้าหากผู้ป่วยทิ้งโรคไว้นาน จนกล้ามเนื้อขาเริ่มลีบเนื่องจากไม่ได้เดินเป็นเวลานาน ก็อาจจะต้องมีการทำกายภาพบำบัดเพิ่ม
วิธีป้องกันโรคน้ำเกินในโพรงสมอง
เนื่องจากยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคนี้ ทำให้ไม่อาจสรุปได้ว่าควรมีการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพอย่างไร
ที่พอจะทำได้ก็คือการดูแลร่างกายตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ
และทานอาหารที่มีประโยชน์ เมื่อพบความผิดปกติก็รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อหาสาเหตุของความผิดปกตินั้น ๆ
Credit : seniors.lovetoknow.com
โรคน้ำเกินในโพรงสมอง เป็นโรคที่สามารถรักษาอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการผ่าตัด เพราะฉะนั้น ใครที่พบว่าญาติสูงอายุของตัวเอง
มีอาการเข้าข่ายจะเป็นโรคน้ำเกินในโพรงสมองก็ควรรีบพามาพบแพทย์ทันที เพื่อจะได้ทำการรักษาให้หาย เพื่อให้ผู้ป่วยได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป