ภูมิแพ้ขึ้นตา ตาบวม เป็นโรคที่สามารถพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ ซึ่งอาจจะเกิดเป็นอาการนำก่อนที่จะมีการแสดงออกทางอวัยวะอื่นมากขึ้น
หรืออาจจะเกิดเมื่อมีอาการรุนแรงก็ได้ โรคภูมิแพ้ขึ้นตา ตาบวมนี้ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้พอสมควร
เพราะเมื่อมีอาการ จะทำให้ไม่สามารถใช้ดวงตาตามปกติได้ ผู้ป่วยอาจต้องหยุดงาน หรือหยุดเรียนเพื่อรักษาให้หายเป็นปกติ ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
ภูมิแพ้ขึ้นตา คืออะไร?
โรคภูมิแพ้ขึ้นตา ตาบวม (Allergic Conjunctivitis, Allergic Pink Eye) เกิดจากการที่เยื่อบุตาซึ่งอยู่บริเวณภายนอกที่สุดของลูกตา
เกิดปฏิกิริยาขึ้นต่อสารก่อภูมิแพ้ เช่น ควันไฟ ควันบุหรี่ เกสรดอกไม้ ฝุ่นควันจากสถานที่ก่อสร้าง ขนสัตว์ น้ำหอม และไรฝุ่น เป็นต้น
ตามปกติแล้ว เยื่อบุตาจะสามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอมด้วยตัวเองได้ ยกเว้นแต่สารที่ภูมิต้านทานมีอาการแพ้เท่านั้น
ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการระคายเคือง คัน และภายในดวงตาเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อปนแดง ซึ่งอาจจำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นโรคตาแดง โรคที่สังคมรังเกียจได้
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ขึ้นตา
ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ขึ้นตา ตาบวมนั้น ก็คือสารก่อภูมิแพ้ดังที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งสามารถพบได้ตามสถานที่ต่างๆ ที่มีผู้คนแออัด
บริเวณถนนที่ต้องมีการสัญจรทุกวัน ไม่เว้นแม้กระทั่งในบ้าน ที่อาจได้รับสารก่อภูมิแพ้จากเครื่องนอนและผ้าปูที่นอน
รวมไปถึงเครื่องปรับอากาศที่ไม่ได้มีการทำความสะอาดเป็นประจำอีกด้วย นอกจากนี้ แพทย์ยังมีการจำแนกสาเหตุของการเกิดโรคภูมิแพ้ขึ้นตา ตาบวม ได้จากอาการดังต่อไปนี้
สาเหตุของการเกิดโรคภูมิแพ้ขึ้นตา
โรคภูมิแพ้ขึ้นตาตามฤดูกาล
มักจะพบอาการของโรคที่ไม่รุนแรงนัก แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานาน มักจะพบได้ตามประเทศทางตะวันตก ที่มีฤดูใบไม้ร่วงมากเป็นพิเศษ ส่วนคนไทยอาจจะพบได้เมื่อถึงช่วงฤดูหนาวที่มีการแปรปรวนของอากาศ
โรคภูมิแพ้ขึ้นตาแบบเฉียบพลัน
ผู้ป่วยจะสามารถบอกได้ว่า ก่อนหน้านี้ได้ไปสัมผัสอะไรมา ซึ่งอาการที่พบจะมีอาการทั่วไป คือตาแดง คัน ระคายเคือง และอาจจะมีอาการน้ำมูกไหล ที่เป็นอาการของภูมิแพ้หูคอจมูกร่วมอยู่ด้วย
โรคภูมิแพ้ขึ้นตาแบบเรื้อรัง
ผู้ป่วยจะมีอาการเรื่อย ๆ ตลอดทั้งปี แต่ไม่รุนแรง สาเหตุที่พบส่วนมาก มาจากในบ้านของผู้ป่วยเอง เช่น ไม่ค่อยได้ทำความสะอาด เลี้ยงสัตว์ มักมีอาการควบคู่ไปกับการมีน้ำมูกไหลและการจามตลอดเวลา
อาการของโรคภูมิแพ้ขึ้นตา
โดยทั่วไปอาการของผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ขึ้นตา ตาบวมจะมีอาการดังต่อไปนี้
- มีอาการคัน และระคายเคืองบริเวณดวงตา ยิ่งเกาก็ยิ่งคันมากขึ้น
- ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีชมพู หรือสีแดงระเรื่อ มีอาการบวม และปวดเบา ๆ
- ดวงตามีความชื้นแฉะ จนเป็นเหตุให้มีขี้ตาตลอดเวลา เนื่องจากมีปริมาณของน้ำตาที่หลั่งออกมาจำนวนมาก
- หากมีอาการรุนแรง อาจเกิดขึ้นได้กับดวงตาทั้งสองข้าง
- ถ้าหากสาเหตุของการแพ้ มาจากคอนแท็คเลนส์ ควรถอดคอนแท็คเลนส์ออก แล้วรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อ หรือเกิดการอักเสบที่บริเวณกระจกตา ซึ่งจะทำการรักษายากกว่าเดิม
วิธีรักษาโรคภูมิแพ้ขึ้นตา
การรักษาโรคภูมิแพ้ขึ้นตา ตาบวม สามารถรักษาได้ด้วยตัวเอง และโดยแพทย์ ซึ่งจะขอจำแนกดังต่อไปนี้
การรักษาด้วยตัวเอง
1.ไม่ควรสัมผัสหรือขยี้ตา แม้จะรู้สึกคันมากก็ตาม เพราะอาจมีสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคต่าง ๆ ที่ติดกับนิ้วมือเข้าไปในดวงตาอีก
หากไม่ไหวจริงให้ใช้น้ำแข็งประคบ หรือหยอดน้ำตาเทียบเพื่อบรรเทาอาการ
2.หมั่นล้างมือบ่อยๆ หลังทำกิจกรรมทุกชนิด เพราะบางครั้งอาจเผลอยกมือขึ้นไปสัมผัสดวงตาได้
3.หากพบว่าอาการไม่ดีขึ้น ภายใน 2-3 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวิธีการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
การรักษาโดยแพทย์
1.แพทย์อาจจะเลือกใช้ยาหยอดตา เพื่อต้านการเป็นภูมิแพ้ หรือยาหยอดตาที่จะเข้าไปกระตุ้นการหดตัวของหลอดเลือด เพื่อลดการระคายเคือง และลดอาการตาแดงให้น้อยลงกว่าเดิม
2.หากเป็นโรคภูมิแพ้ขึ้นตา ตาบวมชนิดเรื้อรัง แพทย์อาจพิจารณาให้ทานยาแก้ภูมิแพ้แทน ซึ่งจะช่วยรักษาอาการเบื้องต้นได้เป็นอย่างดี
แต่มีข้อเสียคือยารักษาโรคภูมิแพ้มักจะทำให้เกิดอาการง่วงนอน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ หากทานในเวลาทำงาน
วิธีป้องกันโรคภูมิแพ้ขึ้นตา
1.สำหรับการป้องกันที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด ก็คือ การหลีกเลี่ยงต่อสารก่อภูมิแพ้ทุกชนิด
2.หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปในสถานก่อสร้าง ผับบาร์ ร้านอาหารที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ และสถานที่ที่มีการเผาขยะบ่อย
3.หลีกเลี่ยงการไปท่องเที่ยวบริเวณสถานที่ที่เต็มไปด้วยดอกไม้ และสัตว์ที่มีขน
4.หมั่นทำความสะอาดภายในบ้านเสมอ ด้วยการเปลี่ยนผ้าปูที่นอน หลอกหมอน ผ้าห่มทุกสัปดาห์
5.ควรหาเครื่องกรองอากาศ หรือเครื่องฟอกอากาศมาใช้ ซึ่งจะช่วยป้องกันสารก่อภูมิแพ้ได้เป็นอย่างดี
Credit : tonshuul.mn
ภูมิแพ้ขึ้นตา ตาบวม เป็นโรคที่ไม่ทำให้เกิดอันตราย หรือเกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ กับร่างกายก็จริง
แต่เป็นโรคที่ก่อให้เกิดความรู้สึกน่ารำคาญ และเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องดูแลตัวเองเป็นอย่างดี เพื่อให้เกิดโรคนี้น้อยที่สุด