ในยุคที่ศัลยกรรมเสริมความงามต่างๆ เป็นที่นิยมอย่างมาก ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้หญิงหรือผู้ชาย ต่างก็รู้จักการทำศัยกรรมเสริมความงาม กันแทบทั้งนั้น
แทบจะไม่มี คนไม่เคยทำศัลยกรรม หรือรู้จักการทำศัลยกรรมเสริมความงามเลย แต่การที่เราจะทำศัลยกรรมเสริมความงามนั้น
เราต้องเข้าใจและทำใจยอมรับก่อนว่า บริเวณที่เราทำศัลยกรรมนั้น จะเกิดรอยแผลเป็น ที่เกิดจากรอยทำศัลยกรรมเสริมความงาม ด้วยวิธีต่างๆ แล้วแต่การทำศัลยกรรมนั้นๆ
การทำศัยกรรมเสริมความงาม ด้วยวิธีการฉีดสารต่างๆ เข้าสู่ผิว จึงเริ่มเป็นที่นิยมขึ้นเรื่อยๆ เพราะการฉีดสารเข้าสู่ผิว จะไม่เห็นรอยแผลเป็นมากนัก
อาจจะเหลือแค่รอยเข็มเล็กๆ บนผิวหนัง และการทำศัยกรรมเสริมความงามด้วยวิธีการฉีดสารที่สาวๆ นิยมที่สุดในตอนนี้คงไม่พ้น …
การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เข้าสู่ผิวหนังเพื่อที่จะช่วยยกกระชับ ริ้วรอยที่เหี่ยวย่นให้กับมาเต่งตึง ใบหน้าสู่เข้ารูป
โบท็อกซ์ Botox คืออะไร
โบท็อกซ์ (Botox) หรือชื่อเต็มคือ โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) เป็นสารที่จะออกฤทธิ์ โดยการคลายกล้ามเนื้อที่ก่อตัวเป็นริ้วรอยต่างๆ บริเวณที่เราฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เข้าไป
กล้ามเนื้อส่วนที่เรา ฉีดสารโบท็อกซ์ (Botox) เข้าไปจะกายเป็นอัมพาตเล็กๆ ตรงจุดนั้น เพื่อคลายตัวไม่ก่อเป็นริ้วรอย
และต้องใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน โบท็อกซ์ (Botox) ที่เราฉีดเข้าไปจะค่อยๆ หมดฤทธิ์ และจะกลายเป็นริ้วรอยหรือกล้ามเนื้อรูปทรงเดิมอีกครั้ง
การฉีดสารโบท็อกซ์ (Botox)
[wpsm_list type=”bullet”]
- จุดที่สาวๆนิยมในการฉีดโบท็อกซ์ (Botox)เช่น จุดที่เราเกร็งใบหน้าทำให้เกิดรอยย่น เช่น หน้าผาก รอยตีนกาแก้ม มุมปาก
- และจุดที่สาวๆ นิยมมากที่สุดในตอนนี้ คือ ฉีดบริเวณ คาง เพื่อให้รูปหน้าเรียวเป็นรูป วี เซฟ
- หลังฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ปกติ
- หลังฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ต้องรอประมาณ 4-7 วันให้ผลของโบท็อกซ์ (Botox) ที่เราฉีดออกฤทธิ์ และจะออกฤทธิ์ประมาณ 3-6 เดือนแล้วแต่จุดที่เราฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ใบหน้าของเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
- ถ้าอยากรักษารูปหน้าให้เข้ารูป แนะนำว่า ควร ฉีดโบท็อกซ์ (Botox) 3-4 ครั้งต่อปี แค่นั้นก็พอ
[/wpsm_list]
แล้วการฉีดสารสารโบท็อกซ์ (Botox) จะเกิดอันตรายหรือไม่
ในแต่ละปี คนที่เข้ารับการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) จากโรงพยาบาล หรือคลีนิกที่ถูกกฎหมาย และฉีดโดยแพทย์ผู้เชียวชาญ มีถึงหลายล้านคนต่อปี
และจากผลสำรวจว่า จะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี แต่กับไม่พบคนที่เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตเลย แต่ก็พบว่า
การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) อาจมีอาการข้างเคียงบ้าง ในแต่ละคน เช่น หางตาตก ปากเกร็ง ขยับริมฝีปากลำบาก กลืนอาหารไม่ค่อยได้ เคี้ยวอาหารลำบาก หน้าตึง เป็นต้น
วิธีแก้อาการข้างเคียงหลังฉีดสารโบท็อกซ์ (Botox)
[wpsm_list type=”bullet”]
- ดูอาการก่อน ถ้าอาการข้างเคียงไม่ค่อยมากนัก เช่น ยิ้มไม่ค่อยได้ หน้าตึง แต่ไม่มีอาการเจ็บหรือปวดกล้ามเนื้อ อาจต้องรอเวลาให้สารโบท็อกซ์ (Botox) ที่เราฉีดปรับสภาพให้เข้ากับใบหน้าของเราก่อน
- ถ้าเกิดอาการข้างเคียงรุ่นแรง เช่น กลืนอาหารไม่ได้เลย ปวดใบหน้าและกล้ามเนื้อรุนแรง ตาลืมไม่ขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการ
[/wpsm_list]
การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) แม้จะเป็นวิธีศัยกรรมที่ง่าย สะดวก และไม่เป็นอันตราย แต่ก็เป็นวิธีการทำศัลยกรรมเสริมความงามที่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายของเราอย่างมาก
เพราะถ้าเราอยากจะรักษารูปหน้าของเราไว้ให้เหมือนเดิม เราต้องฉีดโบท็อกซ์ (Botox) 3-4 ครั้งต่อปี
ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ในแต่ละครั้ง จะต้องเสียค่าฉีดในแต่ละจุดที่แพทย์แนะนำในราคาที่แพง พอๆ กับความง่าย สะดวก และปลอดภัยของเรา
และถ้าเราไม่ฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เป็นประจำ ใบหน้าของเรา ก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้
ก่อนฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เราควรคำนวนและดูตนเองก่อนว่า เราจำเป็นต้องฉีดโบท็อกซ์ (Botox) หรือไม่ และคุ้มค่าหรือป่าว ที่จะต้องฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เพื่อจะได้ใช้เงินให้คุ้มที่สุด ในการเพิ่มเสน่ห์และความงามให้กับตนเอง