โรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา โรคอันตรายที่อาจทำให้ตาบอดโดยไม่รู้ตัว

โรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา

โรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา เป็นโรคเกี่ยวกับดวงตาที่คนทั่วไปมักจะไม่ค่อยรู้จักกันเท่าไรนัก ถึงแม้ว่าจะไม่มีคำว่าเมลาโนมา ตามมาข้างหลัง

มีแค่คำว่าโรคมะเร็งลูกตาก็อาจจะทำให้หลายคนเกิดความสงสัยขึ้นอยู่ดีว่า โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้จริง ๆ และมีอยู่บนโลกจริงหรือไม่?

เพราะปัญหาเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นโรคเกี่ยวกับต้อ และเบาหวานมากกว่า และดวงตานั้นก็ไม่เหมือนกับอวัยวะภายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จึงไม่น่าที่จะทำให้เกิดโรคมะเร็งขึ้นได้

เพราะฉะนั้น เราจึงขอแนะนำให้รู้จักกับโรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา โรคร้ายที่สามารถทำให้ตาบอด และถึงขั้นอาจทำให้เสียชีวิตได้กันอย่างลึกซึ้งเพิ่มขึ้นดีกว่า

โรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา คืออะไร?

โรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา (Ocular melanoma) เป็นโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นจากเซลล์ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดสี

มีชื่อเรียกกันว่า “เมลาโนไซต์” โดยเซลล์ชนิดนี้มักจะพบได้มากในผิวหนัง และสามารถพบได้เล็กน้อยตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย

รวมทั้งในลูกตาด้วย เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้น เซลล์นี้ก็จะมีการพัฒนาไปเป็นมะเร็ง และพบได้มากกับบริเวณผิวหนัง

ที่เป็นแหล่งของเซลล์เมลาโนไซต์มากที่สุด แต่ถ้าหากไปเกิดกับเนื้อเยื่ออื่น ๆ ตามอวัยวะของร่างกาย เช่น บริเวณโพรงจมูก ช่องปาก ลำไส้

ก็จะเรียกกันว่า โรคมะเร็งเยื่อเมือกเมลาโนมา ส่วนถ้าเกิดภายในลูกตา ก็จะมีชื่อเรียกว่าโรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมานั่นเอง

สำหรับโรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา ถือว่าเป็นโรคมะเร็งที่มีความรุนแรงน้อยที่สุดถ้าเทียบกับโรคมะเร็งอีก 2 ชนิดที่มาจากสาเหตุเดียวกัน

และยังพบได้น้อยมาก เฉลี่ยแล้วแค่ปีละ 6 รายจากประชากร 1 ล้านคน และมักจะพบบ่อยในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้น

ตำแหน่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา ก็คือบริเวณผนังลูกตาชั้นกลาง ที่เป็นที่อยู่ของเนื้อเยื่อจำนวนมาก แต่ก็อาจจะพบได้ในเยื่อบุตาประมาณ 2-3%

สาเหตุของโรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา

สำหรับสาเหตุของโรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา ก็ยังไม่พบสาเหตุที่แน่นอนจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งก็เหมือนกับโรคมะเร็งชนิดอื่น ๆ

เพียงแต่มีการคาดการณ์ว่าอาจจะเกิดจากความผิดปกติของยีน โดยเฉพาะกับผู้ที่มีผิวขาว ตาสีฟ้า มีไฝ กระ

ตามลำตัวมากกว่า 100 จุด หรือเป็นคนต่างชาตินั่นเอง (ยังไม่มีรายงานการพบโรคนี้ในประเทศไทย)

อาการของโรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา

ด้วยความที่เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อลูกตาที่ไม่สามารถมองเห็นได้ จึงทำให้หลายคนอาจจะยังไม่สามารถพบความผิดปกติใด ๆ เกี่ยวกับดวงตา

จนกว่าเนื้อร้ายจะเริ่มมีการเจริญเติบโตมากยิ่งขึ้น และส่งผลต่อการมองเห็นของดวงตา แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่ง

ที่บังเอิญเจอเนื้อร้ายนี้ระหว่างการตรวจตาประจำปี ซึ่งก็ถือว่าโชคดีมาก และยังมีโอกาสที่จะรักษาให้หายขาดได้

โดยอาการของโรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมาทั่วไปที่แพทย์เคยพบเจอมา มีดังต่อไปนี้

  • ตามัว มองเห็นภาพต่าง ๆ ไม่ชัดเจน ทั้งที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องสายตามาก่อน
  • มีอาการปวดตา ตาบวม เนื่องจากก้อนเนื้อร้ายมีการเจริญเติบโตขึ้น
  • ถ้ามีความรุนแรง อาจจะพบต่อมน้ำเหลืองบริเวณกกหู และบริเวณลำคอมีขนาดโตขึ้นกว่าเดิมจนสังเกตได้

การวินิจฉัยโรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา

การวินิจฉัยโรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมาโดยแพทย์นั้น สามารถทำได้จากการซักประวัติ พร้อมกับการตรวจดวงตา

ถ้าหากพบก้อนเนื้อที่ผิดปกติขึ้น แพทย์ก็อาจจะใช้วิธีทางพยาธิวิยาคือการเจาะ หรือดูดก้อนเนื้อมาทำการตรวจสอบว่าเป็นเนื้อร้ายหรือไม่

แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้ค่อนข้างจะทำได้ยาก และมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงพอสมควร เพราะต้องใช้เครื่องมือเฉพาะและแพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญพอสมควร

นอกจากนี้ โรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะเหมือนกับโรคมะเร็งทั่ว ๆ ไป แต่ละระยะก็จะมีการรักษาที่แตกต่างกัน

วิธีรักษาโรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา

เมื่อแพทย์สามารถระบุได้แล้วว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา มีอาการอยู่ในระยะไหน ก็จะมีการทำการรักษาให้เหมาะสมกับอาการ

ซึ่งก็จะมีทั้งการผ่าตัด การยิงด้วยเลเซอร์ รวมไปถึงการใช้รังสีรักษาและใช้เคมีบำบัด ในกรณีที่ชิ้นเนื้อมีขนาดใหญ่

และเริ่มแพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆ แล้ว สำหรับคนไข้ที่มีอาการของโรคอยู่ในระยะที่ 4 แพทย์ก็จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด

เพื่อไม่ให้เกิดการลุกลามเข้าไปในต่อมน้ำเหลืองและกระแสโลหิต ที่อาจทำให้เกิดการแพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ได้

วิธีป้องกันโรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา

เนื่องจากยังไม่พบสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา และแพทย์ส่วนมากมองว่าเป็นโรคที่เกิดขึ้นเฉพาะเชื้อชาติ

รวมถึงปัญหาทางพันธุกรรม จึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรคนี้ นอกจากดูแลตัวเองให้มีสุขภาพแข็งแรงเท่านั้น

Credit : health.mthai.com

โรคมะเร็งลูกตาเมลาโนมา อาจจะเป็นโรคที่มีความน่ากลัวพอสมควร แต่ถึงกระนั้นก็ไม่น่ากังวลมากนัก

เพราะยังไม่พบการเกิดโรคนี้ในประเทศไทย เพียงแต่การทำความรู้จักกับโรคไว้บ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียหายแต่อย่างใด