ปัจจุบันนี้ การลดไขมันส่วนเกินสะสมตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย นอกจากการออกกำลังกาย ควบคุมอาหารแล้ว ยังมีตัวช่วยอีกหลายวิธีที่ทำได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง สามารถช่วยลดไขมันส่วนเกินในบางจุดที่ลดยาก ลดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมลง ส่วนจะมีวิธีการหรือเครื่องมืออะไรบ้าง เรามาหาคำตอบจากคุณหมอไปพร้อม ๆ กันได้ในบทความนี้ค่ะ
- 1.) การสลายไขมันด้วยความเย็น หรือ CoolSculpting
- หลังทำ CoolSculpting (สลายไขมันด้วยความเย็น) จะต้องรอกี่วัน ถึงจะเห็นผลว่าสัดส่วนเล็กลง?
- สลายไขมันด้วยเครื่อง CoolSculpting เจ็บมากไหม ?
- การทำ Coolsculpting ราคาแพงไหม?
- เลือกคลินิกทำ CoolSculpting ที่ไหนดี? ให้มั่นใจได้ถึงความปลอดภัย
- 2.) การบริหารร่างกายเพื่อลดไขมันส่วนเกิน
- 3.) ฉีดเมโสแฟต ลดสัดส่วน (Meso fat)
- 4.) เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย ของการดูดไขมันด้วยเครื่องมือชนิดต่าง ๆ
1.) การสลายไขมันด้วยความเย็น หรือ CoolSculpting
การทำ Coolsculpting คือ อีกหนึ่งตัวช่วยในการกำจัดไขมันส่วนเกิน เป็นการแช่แข็งเซลล์ไขมัน หลายคนเรียกหัตถการนี้ว่า การสลายไขมันด้วยความเย็น ซึ่งเซลล์ไขมันจะมีความพิเศษตรงที่จะไวต่ออุณหภูมิมากกว่าเซลล์ประเภทอื่น สังเกตได้จากเมื่อนำอาหารที่มีส่วนผสมของไขมันไปแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา ส่วนที่เป็นไขมันจะเห็นได้ว่าแข็งตัวและแยกชั้นออกมาจากส่วนอื่นเร็วมาก
CoolSculpting สลายไขมันด้วยความเย็น กำจัดเซลล์ไขมันถาวร 25%
เครื่องทำ Coolsculpting จะมีหัวดูดที่ปล่อยความเย็น ติดลบ 11 องศาเซลเซียส เพื่อแช่งแข็งก้อนไขมันที่เครื่องดูดขึ้นมาแต่ละจุดใช้เวลานานประมาณ 35 นาที โดยหัวดูดผิวจะดึงชั้นไขมันเข้ามาไว้ในหัวของเครื่อง ลักษณะเหมือนกับเราใช้มือหยิกไขมันที่พุงขึ้นมา
อีกทั้งเราไม่ต้องกังวลว่าผิวหนังชั้นนอกจะเป็นอันตราย เพราะ CoolSculpting มีระบบที่ช่วยตรวจจับความเย็น หรือ Freeze detect หากผิวหนังชั้นบนมีความเย็นมากเกินระดับที่กำหนดไว้ เครื่องจะหยุดทำงานทันที จึงไม่เคยมีเคสที่ผิวไหม้จากความเย็นของเครื่องนี้ แต่สิ่งที่ต้องพึงระวังคือ หากใช้เครื่องเกรดต่ำยี่ห้ออื่นซึ่งเป็นเครื่องเลียนแบบ อาจมีผลข้างเคียงคือผิวไหมจากความเย็นเกิดขึ้นได้
และจะมีขั้นตอนการนวด หลังจากแช่แข็งเซลล์ไขมันจนครบตามเวลาที่กำหนดแล้ว การนวดจะลดจำนวนเซลล์ไขมันลงอย่างถาวร เพราะเซลล์ไขมันจะตายลง และร่างกายเราจะขจัดเซลล์เหล่านี้ออกไปเองอย่างเป็นธรรมชาติ ในการทำ CoolSculpting 1 ครั้งจะช่วยลดปริมาณเซลล์ไขมันในบริเวณชั้นผิวหนังที่ทำได้มากถึง 25% (อ้างอิงจาก 50 ผลงานวิจัยทางการแพทย์)
รูป ภาพ
เซลล์ไขมันมีคุณสมบัติไวต่อความเย็นมากกว่าเซลล์ในผิวหนังชนิดอื่นๆ จึงถูกแช่แข็งได้ในขั้นตอนการทำ CoolSculpting
หลังทำ CoolSculpting (สลายไขมันด้วยความเย็น) จะต้องรอกี่วัน ถึงจะเห็นผลว่าสัดส่วนเล็กลง?
หลังทำจะมีอาการปวดระบมเกิดขึ้น ใช้เวลาพักฟื้น 7-10 วันจึงจะหายดีขึ้น
ช่วงประมาณ 1-2 สัปดาห์แรกหลังทำ CoolSculpting จะมีอาการบวมในบริเวณที่เซลล์ไขมันตายและตกค้างอยู่ ต้องใช้เวลาให้ร่างกายค่อย ๆ ลำเลียงเอาเซลล์ไขมันที่ตายแล้ว ออกไปตามระบบน้ำเหลืองและเลือด
จากนั้น เราจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ได้ว่า ไขมันส่วนเกินดูยุบลง สัดส่วนดูเล็กลง หลังทำประมาณ 3-4 อาทิตย์
สลายไขมันด้วยเครื่อง CoolSculpting เจ็บมากไหม ?
สลายไขมันด้วยความเย็น สลายไขมันทันที 20 %
ตอนที่นวดหลังจากขั้นตอนแช่แข็งไขมันเสร็จแล้ว เป็นขั้นตอนที่เจ็บที่สุด ที่ต้องนวดก็เพื่อทำให้เซลล์ไขมันที่ถูกแช่แข็งแล้วตายลง (จะได้ผลน้อยลงถึง 60% ถ้าไม่นวด) และในบางคนอาจเกิดเขียวช้ำหลังนวดได้
และเมื่อผ่านไปประมาณ 1 เดือนเราจะเห็นได้ว่าชั้นไขมันยุบลง หากจะเห็นผลแบบเต็มที่จะใช้เวลา 3 เดือน สำหรับใครที่อยากทำเพิ่มในจุดเดียวกันก็สามารถทำได้เมื่อผ่านไปแล้ว 1 เดือนนับจากการทำครั้งก่อน
การทำ Coolsculpting ราคาแพงไหม?
- Coolsculpting หรือ การสลายไขมันด้วยความเย็น ราคามาตรฐานจะอยู่ที่ หนีบละ 9,900 บาท – 12,000 บาทโดยประมาณ ซึ่งตามปรกติแล้วในการทำแต่ละครั้ง 1 หนีบ จะช่วยสลายไขมันส่วนเกินออกไปได้ประมาณ 60cc – 70cc
- ส่วนใครที่อยากจะให้สัดส่วนดูเล็กลง ปรับรูปทรงให้ดีขึ้น เห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน ก็มักจะทำ Coolsculpting 2-4 หนีบขึ้นไป
การทำ CoolSculpting รีวิวผลการรักษา สามารถช่วยสลายไขมันส่วนเกิน เห็นผลได้อย่างชัดเจน
การทำ CoolSculpting รีวิวผลการรักษา สลายไขมันส่วนเกินได้อย่างเห็นผล
เลือกคลินิกทำ CoolSculpting ที่ไหนดี? ให้มั่นใจได้ถึงความปลอดภัย
- สถานที่ต้องสะอาด พื้นที่กว้างขวาง ไม่อับทึบ และต้องเป็นคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบรับรองอย่างถูกต้อง เชื่อถือได้
- ค่าทำ Coolsculpting ราคาที่ตั้งไว้ต้องไม่แพงหรือถูกจนเกินไป ราคามีความสมเหตุสมผล เพื่อสามารถมั่นใจได้ว่าทางคลินิกใช้เครื่อง Coolsculpting ของแท้เท่านั้น ไม่ใช่เครื่องปลอมหรือเครื่องเลียนแบบ
- มีคุณหมอ และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการทำ Coolsculpting โดยตรงเป็นผู้ให้ความดูแลระหว่างการรักษา
- ก่อนตัดสินใจทำ Coolsculpting เราควรพิจารณาว่าคลินิกแห่งนั้นมีรีวิวของคนไข้ที่เคยเข้าใช้บริการจริงหรือไม่ เพื่อดูความรับผิดชอบของแพทย์และทางคลินิก
2.) การบริหารร่างกายเพื่อลดไขมันส่วนเกิน
การบริหารร่างกาย หรือเข้าฟิตเนส คือ วิธีการที่ประหยัดเงิน และดีที่สุดสำหรับการลดสัดส่วน แถมยังได้สุขภาพที่แข็งแรงมากขึ้นอีกด้วย
หากเราสามารถควบคุมการรับประทานอาหาร ร่วมกับการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ จะช่วยเพิ่มความสามารถในการเผาผลาญให้ดียิ่งขึ้นในแต่ละวัน ไขมันส่วนเกินจะลดลงได้ เพราะร่างกายเราจะไปดึงไขมันสะสมตามบริเวณต่าง ๆ ออกมาใช้
ส่วนปัญหาเรื่องผิวขาดความกระชับ หรือยังคงเหลือไขมันส่วนเกินในบางจุดที่ไม่ว่าจะพยายามลดมากเท่าไหร่แล้วแต่ก็ลดไม่ลง เราสามารถใช้เครื่องมืออื่น ๆ ที่กล่าวถึงต่อไปในบทความนี้ เป็นตัวช่วยในการลดสัดส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพได้
3.) ฉีดเมโสแฟต ลดสัดส่วน (Meso fat)
อีกหนึ่งวิธีสลายไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด อย่างการฉีดเมโสแฟต เป็นการฉีดสารต่าง ๆ ที่ได้รับการรองรับจากงานวิจัยว่าสามารถสลายเซลล์ไขมันได้ สำหรับผลลัพธ์อาจเห็นได้ไม่ชัดเจน หรือคาดหวังผลได้ไม่แน่นอน คนไข้บางรายฉีดเมโสแฟตแล้วเห็นผลได้ชัดเจน แต่บางรายก็ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง สาเหตุเป็นเพราะปัจจัยของร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน การออกฤทธิ์ของตัวยาจึงแตกต่างกันไป
เนื่องจากการฉีดเมโสแฟต ราคาจะค่อนข้างถูกกว่าการลดส่วนเกินด้วยวิธีอื่น ๆ ดังนั้น สำหรับคนที่มีงบประมาณค่อนข้างจำกัด สามารถทดลองใช้วิธีฉีดเมโสแฟตเพื่อลดไขมันเฉพาะจุดดูก่อน ซึ่งหากทำแล้วได้ผลดีก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้มาก การฉีดเมโสแฟต ราคาอยู่ประมาณ 5,000.- บาท/ 40 cc ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1 ฝ่ามือ
4.) เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย ของการดูดไขมันด้วยเครื่องมือชนิดต่าง ๆ
ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ใช้ดูดไขมันที่ได้รับความนิยม จะประกอบไปด้วยยี่ห้อต่าง ๆ ได้แก่
การใช้เครื่อง Body tite : Radio Frequency Assisted Liposuction ใช้คลื่นวิทยุความร้อน ดูดไขมัน
การใช้เครื่อง Vaser : Ultrasound Assisted Liposuction ใช้คลื่นเสียง Ultrasonic ดูดไขมัน
- การดูดไขมัน โดยใช้เครื่องมือประเภทคลื่นวิทยุ หรือคลื่นเสียง
- ข้อดี คือ ช่วยลดโอกาสการเกิดความหย่อนคล้อยหลังเข้ารับการดูดไขมัน เนื่องจาก หลังจากทำเสร็จแล้ว ในช่วง 2-3 เดือน จะช่วยกระตุ้นให้เนื้อเยื่อตรงบริเวณที่แพทย์ดูดไขมัน มีการหดตัว เพิ่มความกระชับมากขึ้น
- ข้อเสีย คือ เซลล์ไขมันที่ได้จากการดูดด้วยวิธีนี้ ถ้าแพทย์นำไปฉีดเพื่อเติมเต็มตามส่วนอื่นๆ มักจะปลูกไม่ติด เพราะได้เซลล์ไขมันที่ไม่แข็งแรง รวมถึงคนไข้มักจะต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนานขึ้น (สำหรับคนไข้บางรายอาจต้องพักฟื้นนานเกินกว่า 1 เดือน) เพราะมีอาการบวมช้ำมากขึ้น
การใช้เครื่อง Body jet evo : Water-Jet Assisted Liposuction ใช้แรงดันน้ำ ดูดไขมัน
การใช้เครื่อง Microaire : Power Assisted Liposuction ใช้แรงสั่น ดูดไขมัน
การทำให้ก้อนไขมันแตกตัว โดยใช้พลังงานที่แตกต่างกัน จากนั้นจึงทำการดูดไขมันที่แตกตัวออกมาจากร่างกายเรา คือหลักการทำงานเครื่องดูดไขมันทั้ง 4 ชนิดนี้ สำหรับ ข้อดี ข้อเสีย ของแต่ละเครื่องมือ จะเป็นดังข้อมูลด้านล่างนี้
- การดูดไขมัน โดยใช้เครื่องมือประเภท แรงสั่นหรือแรงดันน้ำ
- ข้อดี คือ ใช้เวลาในการพักฟื้นประมาณ 3-4 อาทิตย์ โดยจะบวมช้ำน้อยกว่า ปวดระบมน้อยกว่า อีกทั้งเซลล์ไขมันที่ได้จากการดูดด้วยวิธีใช้แรงสั่นหรือแรงดันน้ำ หากแพทย์นำไปฉีดเพื่อเติมเต็มตามจุดต่าง ๆ จะเพิ่มโอกาสในการปลูกติดได้มากขึ้นเพราะมักจะได้เซลล์ไขมันที่แข็งแรง แต่ % การปลูกติดจะสำเร็จมากน้อยแค่ไหนนั้นย่อมขึ้นกับเทคนิคการเก็บเซลล์ไขมันรวมถึงเทคนิคการฉีดด้วย
- ข้อเสีย คือ ผิวหนังบริเวณที่ดูดไขมันมักจะไม่กระชับภายหลังจากอาการบวมยุบลงแล้ว หากต้องการให้ผิวกระชับมากขึ้นอาจต้องใช้เครื่องมือที่อื่นร่วมด้วยเพื่อให้ผลลัพธ์สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
การสลายไขมันด้วยความเย็นอย่าง CoolSculpting เป็นหัตถการที่มีราคาไม่แพงมาก และยังให้ผลลัพธ์ที่ดีได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด ไม่ต้องดูดไขมัน ไม่ต้องเสียเวลาในการพักฟื้นนาน จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการกำจัดไขมันที่มีข้อดีกว่าวิธีอื่น ๆ มาก