เมื่อพูดถึง โรคเริม หลายคนอาจจะเริ่มคิดถึงคนที่ชอบมีคู่นอนหลายคน เพราะโรคนี้จะมีลักษณะเป็นตุ่มหรือผื่นที่ขึ้นมาตามร่างกาย
โดยบางคนอาจจะคิดว่าตนเองนั้นแพ้บางอย่าง เลยปล่อยทิ้งไว้ ไม่รักษา เพราะคิดว่าน่าจะหายเองได้ตามธรรมชาติ
หรือเพียงหายามาทาบรรเทาผดผื่น หากกระนั้นก็พบว่ายังไม่ยอมหายซักที่ ที่สำคัญโรคนี้ยังลุกลามเป็นหนักมากกว่าเดิมเสียอีก
เพราะฉะนั้น เรามาทำความรู้จักกันดีกว่าว่า โรคเริมคืออะไร และจะมี วิธีป้องกันรักษาโรคเริมอย่างไรบ้าง มาดูกันเลย
โรคเริม เกิดจากอะไร?
โรคเริม (Herpes) เป็นโรคผิวหนัง ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายก็จะเกิดการแบ่งตัว
จึงทำให้ผิวหนังในบริเวณนั้นบวมเป็นตุ่มน้ำและมีอาการอักเสบ และหลังจากนั้นเชื้อก็จะไปอยู่ในปมประสาท
เมื่อไหร่ก็ตามที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง หรือเชื้อถูกกระตุ้นจากปัจจัยแวดล้อม ซึ่งได้แก่ แสงแดด ความเครียด หรือประจำเดือน ก็จะทำให้กลับมาเป็นซ้ำได้อีก
อาการเริ่มต้นของโรคเริม
สำหรับอาการเริ่มต้นของโรคเริมนั้น ผู้ป่วยจะเริ่มด้วยความรู้สึกเจ็บ ๆ ตึง ๆ และคันในบริเวณที่เป็น หลังจากนั้นภายในเวลา 24 ชั่วโมง
ก็จะเริ่มมีลักษณะเป็นตุ่มพองใส อาการของโรคเริมจะเหมือนกับเวลาที่โดนน้ำมันกระเด็นใส่ จากนั้นตุ่มก็จะแตกกลายเป็นแผลตื้น ๆ
ตกสะเก็ดแล้วก็หายไปในที่สุด ส่วนบริเวณที่ติดเชื้อโรคเริมได้บ่อยที่สุดคือ บริเวณริมฝีปาก และบริเวณอวัยวะเพศ
จึงจัดว่า โรคเริมเป็นโรคติดต่อทางเพศ ซึ่งโรคเริมสามารถพบได้ในทุกส่วนของร่างกาย ในบางราย อาจมีตุ่มเริมขึ้นตามต้นขา ต้นแขน และนิ้วมือ เป็นต้น
สาเหตุของโรคเริม
โรคเริมนั้นเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเริม หรือ เฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ (Herpes simplex virus – HSV)
ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสคนละชนิดกับโรคงูสวัดและโรคอีสุกอีใส โดยมีลักษณะของอาการคล้าย ๆ กันคือ มีตุ่มน้ำใส ๆ ขึ้นบริเวณผิวหนัง
เชื้อโรคเริมนั้นจะมีด้วยกันอยู่ 2 ชนิด คือ ไวรัสเริมชนิดที่ 1 ที่เรียกว่า เอชเอสวี – 1 (Herpes simplex virus หรือ HSV -1)
กับไวรัสเริมชนิดที่ 2 มีชื่อเรียกว่า เอชเอสวี – 2 (Herpes simplex virus2 หรือ HSV- 2) ซึ่งเชื้อเริมทั้งสองชนิดนี้ จะก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ทางบริเวณผิวหนังทั่วไป
ยารักษาโรคเริม
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคเริมนั้นอยู่ 3 แบบ ซึ่งยาทั้ง 3 แบบนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพียงแต่ช่วยลดอาการรุนแรงของโรคให้ลดลงได้
ซึ่งจะช่วยลดความถี่และลดระยะเวลาที่เป็น สำหรับยาทั้ง 3 แบบนี้ได้แก่ Acyclovir, Valacyclovir, Famiclovir โดยการให้ยาก็มีอยู่ 2 ลักษณะคือ
1.Acute therapy หมายถึง การเริ่มให้ยาตั้งแต่เริ่มมีอาการ กล่าวคือ ผู้ป่วยเริ่มรู้สึกปวดแสบ ปวดร้อน ตั้งแต่ยังไม่มีผื่นขึ้น ถ้ามีผื่นขึ้นจะไม่ได้ผล และจะต้องให้ยาครบ 5 วัน
2.Suppress therapy คือ การให้ยา เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ จะเลือกให้ในบางรายที่กลับมาเป็นซ้ำบ่อย ๆ หรือมีโรคประจำตัว
ยาทาแก้โรคเริม
สำหรับยาทาแก้โรคเริมนั้นยังไม่มียาทาตัวไหนที่ได้ผลดี สำหรับยาทานั้นจะช่วยบรรเทาอาการปวด ทำให้ผื่นแห้งเร็ว
โดยตัวยาที่นิยมกันได้แก่ acyclovir ครีม ซึ่งจะได้ผลเฉพาะ primary lesion และโดยปกติแล้ว ยาทาจะไม่ช่วยลดจำนวนเชื้อ
หรือลดระยะเวลาที่เป็นโรค สำหรับยาตัวอื่นต้องเลือกให้ดี เพราะอาจมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
หรือสารที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองอย่างอื่น ทำให้แผลหายช้า และยาที่มีส่วนผสมของ steroid ก็ไม่ควรนำมาใช้ในการรักษาเช่นกัน
การรักษาโรคเริม
การรักษาโรคเริมนั้น หากผู้ป่วยมีอาการที่ชัดเจน แพทย์จะทำการรักษาไปตามอาการ เช่น การให้ยาแก้ปวด ยาเบาเทาอาการคัน
หรือการใช้สารน้ำในรายที่มีภาวะขาดน้ำ ร่วมกับการให้ยาต้านไวรัสก็จะช่วยลดความรุนแรงของโรค ทำให้หายเร็วขึ้น
โดยจะช่วยลดโอกาสในการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น ๆ แต่ไม่สามารถป้องกันการเกิดเริมซ้ำ เนื่องจากยาต้านไวรัส
ไม่สามารถเข้าไปจัดการเชื้อไวรัสที่แฝงอยู่ในปมประสาทได้ ส่วนในรายที่ยังแสดงอาการไม่ชัดเจน
ควรเข้ารับการวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งวิธีการรักษาโรคที่สำคัญ คือการให้ยาต้านไวรัส
สมุนไพรรักษาโรคเริม
ในปัจจุบันมีสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเริมที่ปากได้ เช่น พญายอ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เสลดพังพอนตัวเมีย
สามารถลดอาการและทำให้ตุ่มใสหายเร็วขึ้น โดยสามารถหาซื้อในรูปของครีมพญายอ
อาหารที่ห้ามรับประทาน สำหรับคนเป็นโรคเริม
หลีกเลี่ยงการทานอาหารรสเปรี้ยวหรืออาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด
อาหารดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว เพราะเมื่ออาหารนั้นไปสัมผัสกับแผลในขณะที่ทาน
จะทำให้เชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์เกิดการเจริญเติบโตได้ดีในสภาพเป็นกรด ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นกรดทั้งหลาย
เพื่อไม่ให้สัมผัสกับแผล ซึ่งได้แก่ ผลไม้รสเปรี้ยว มะเขือเทศ มะนาว และน้ำส้มสายชู เป็นต้น
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีอาร์จินินสูง
อาร์จินินเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ไวรัสเฮอร์ปีส์ เจริญเติบโตได้ดี
สำหรับอาร์จินินนั้น จะพบได้มากในธัญพืชไม่ขัดสี เมล็ดพืช ถั่วเปลือกแข็ง และช็อกโกแลต
Credit : scienzaesalute.blogosfere.it
โรคเริม เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะเชื้อไวรัสได้เข้าไปฝังตัวอยู่ในปมประสาทแล้ว
แต่สามารถใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ และช่วยลดความถี่ในการกลับมาเป็นซ้ำได้อีกด้วย
เพราะเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ก็จะทำให้ อาการโรคเริม กำเริบ ดังนั้นจึงควรใส่ใจดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี
และควรรักษาความสะอาดของร่างกายอยู่เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับเชื้อโรคเข้ามาเยอะจนทำลายภูมิคุ้มกันให้ต่ำลงนั่นเอง