โรคงูสวัด (ภาษาอังกฤษ Herpes Zoster) คนไทยสมัยโบราณจะเรียกโรคนี้ว่า ไฟลามทุ่ง ถือว่าเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับ ไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส ซึ่งสามารถพบผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ ได้ในประเทศไทย และจะพบมากในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ซึ่งมักเกิดบริเวณผิวหนังตามร่างกาย ลักษณะเป็นผื่นหรือตุ่มตามยาว
ส่วนใหญ่ งูสวัด จะขึ้นบริเวณ แนวบั้นเอวหรือแนวชายโครง หรือบางคนอาจขึ้นที่ใบหน้า แขนหรือขา แต่จะมีลักษณะการขึ้นที่คล้ายกันคือ ขึ้นเพียงซีกหนึ่งซีกใดของร่างกายเท่านั้น
โรคงูสวัด ไม่มีอันตรายร้ายแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ แต่บางคนหลังจากที่แผลหายแล้ว อาจมีอาการปวดประสาทนาน หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้
การที่มีการเสียชีวิต เพราะโรคงูสวัดนั้น อาจเป็นเพราะร่างกายอยู่ในช่วงอ่อนแอ และขาดภูมิต้านทานโรค
สาเหตุของการเกิด โรคงูสวัด
โรคงูสวัด มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส Varicella zoster virus หรือ VZV เชื้อชนิดนี้ จะทำให้เกิดโรคในคน คือ อีสุกอีใส และงูสวัด
เมื่อเชื้อไวรัส VZV เข้าสู่ร่างกายครั้งแรก จะทำให้ผู้ที่ติดไวรัส เป็นอีสุกอีใส แต่เมื่อหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว เชื้อไวรัสจะไปหลบตามในปมประสาทต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เส้นประสาทอักเสบ และปล่อยเชื้อไวรัสออกมาที่ผิวหนัง
พอถึงช่วงที่ร่างกายอ่อนเพลีย มีภูมิคุ้มกันลดลง เชื้อไวรัสจะเริ่มเพิ่มจำนวน แล้วจะแสดงอาการของโรคงูสวัดขึ้น
ลักษณะอาการของโรคงูสวัด
สามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ
ระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดและแสบร้อนที่ผิวหนัง โดยที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้ ช่วงนี้ จะเป็นช่วงที่ผู้ป่วย มีภูมิต้านทานของร่างกายที่ลดต่ำลง
ทำให้เชื้อไวรัสเริ่มมีการเพิ่มจำนวนในร่างกาย ตามปมประสาทต่างๆ ทำให้เกิดอาการปวดและแสบร้อนได้
ระยะที่ 2 หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีผื่นสีแดงขึ้นที่ผิวหนัง แล้วจะกลายเป็นตุ่มน้ำใสๆ
ซึ่งจะเรียงกันเป็นกลุ่ม และเป็นแนวยาวเรียงไปตามกลุ่มของเส้นประสาทของร่างกาย เช่น ตามแขน ขา แผ่นหลัง หรือรอบๆ เอว
ต่อมาตุ่มใสๆ ของโรคงูสวัดนี้จะเริ่มแตก และจะตกสะเก็ด ซึ่งแผลเหล่านี้จะหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์
ระยะที่ 3 เมื่อแผลที่ตกสะเก็ดแห้ง และหายดีแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่ มักจะยังมีอาการปวดและแสบร้อน ตามรอยแนวของแผลอยู่
บางคนอาจจะต้องใช้เวลานาน กว่าจะหาย ซึ่งขึ้นอยู่กับความแข็งแรง ของภูมิคุ้มกันของแต่ละคน
การดูแล และการรักษาโรคงูสวัด
ยาอะซัยโคลเวียร์ (Acyclovir) เป็นยาที่มีฤทธิ์ในการยับยั้ง การเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส VZV เป็นยาที่ได้ผลดีในการรักษาโรคงูสวัด โรคอีสุกอีใส และโรคเริม
ตัวยานี้ ที่สามารถรักษาโรคงูสวัดได้ จะมีทั้งในรูปแบบ ยาเม็ด แคปซูล และยาฉีด (ยาชนิดครีมจะใช้รักษาโรคงูสวัดไม่ได้ผล)
ซึ่งแพทย์จะให้ยาแก่ผู้ป่วยในรูปแบบที่ต่างกัน ตามความเหมาะสม แต่ยานี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อย และมีระยะเวลาออกฤทธิ์ในร่างกายสั้น
ผู้ป่วยจึงต้องใช้ยาตัวนี้บ่อยกว่า เมื่อเทียบกับการใช้ยาเพื่อรักษาโรคทั่วๆ ไป ปัจจุบันมียาที่ใช้รักษาโรคงูสวัดอีก 2 ชนิด คือ ยาวาลาซิโคลเวียร์ และยาแฟมซิโคลเวียร์
ซึ่งมีข้อดีกว่า ยาอะซัยโคลเวียร์ สามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้ดีกว่า ทำให้สามารถใช้ยาได้ในปริมาณที่น้อยกว่า แต่มีราคาที่ค่อนข้างแพง
หากมีไข้หรือปวดตอนที่เป็น โรคงูสวัด ควรทานยาบรรเทาปวด ยาระงับอาการปวด อาการคัน เช่น พาราเซตามอล หากเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน และให้ทาด้วย ยาแก้ผดผื่นคัน เช่น พวกเสลดพังพอน ใช้ทาระงับอาการได้ดีพอสมควร ราคาไม่แพง
ข้อห้ามของคนเป็นโรคงูสวัด ที่สำคัญ คือ คนที่เป็นโรคงูสวัด ห้ามโดนน้ำ ห้ามกินไก่ ห้ามดื่มเหล้า ห้ามกินของแสลง ที่เป็นของร้อน เช่น ทุเรียน สับปะรด เด็ดขาด ไม่งั้นจะทำให้แผลหายช้า
ที่สำคัญ คุณต้องรักษาสุขภาพของร่างกายให้แข็งแรง มีการพักผ่อนที่เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคที่ดีอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอจนเปิดโอกาสให้เชื้อไวรัสดังกล่าวจู่โจมร่างกาย เชื้อไวรัสที่หลบซ่อนอยู่ในร่างกายของคุณ ก็จะไม่สามารถเพิ่มจำนวนขึ้นได้