รอยดําจากสิว วิธีลดรอยดําจากสิว และการเลือกครีมลดรอยดําจากสิว

รอยดําจากสิว

ปัญหาสิวเป็นสิ่งที่สาวๆ จะต้องพบเจอชนิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คงเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยมากถึงมากที่สุดที่จะไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่เคยเป็นสิว

มันจึงกลายเป็นปัญหาโลกแตกที่แม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต เป็นไม่นานก็หาย

แต่ตอนหายก็ต้องมานั่งลุ้นกับรอยดําจากสิว รอยแดงจากสิว หรือรอยบุ๋มทำให้หน้าขรุขระแบบถาวรกันได้เลยทีเดียว

เพื่อเป็นการช่วยลดรอยดําจากสิว ทางที่ดีคือการที่สาวๆ ควรทำความเข้าใจสาเหตุในการเกิด

และวิธีแก้ไขอย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยให้สิวหายแบบไม่เป็นรอยแผลเอาไว้ให้ดูต่างหน้าในภายหลังค่ะ

สิวชนิดไหนที่ทำให้เกิดรอยดําจากสิว

  • รอยดําจากสิวที่เกิดขึ้น เป็นร่องรอยที่มาจาก “สิวอักเสบ” ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดรอยด่างดำ

หลังจากที่มันยุบตัวลงและหายเป็นปกติ ทิ้งร่อยรอยเอาไว้ให้สาวๆ ดูต่างหน้า

  • รอยดําก็สามารถเกิดขึ้นได้จากสิวอุดตันด้วยเช่นกัน เนื่องจากวิธีการกำจัดสิวแบบผิดวิธี

เป็นเหตุให้ผิวเกิดความเสียหาย อักเสบ และตามมาด้วยรอยแผลเป็นในที่สุด

  • การกดบีบสิวอุดตันยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวบริเวณนั้นบอบช้ำ แปรสภาพลุกลามกลายเป็นสิวอักเสบที่มีความรุนแรง

ที่จะทิ้งรอยดําเอาไว้หลังจากที่มันหายไปแล้ว สิวอักเสบ (Inframmatory acne) คือต้นเหตุที่ทำให้เกิดรอยดําได้มากที่สุด

ลักษณะสิวชนิดนี้จะนูน มีสีแดงเนื่องจากการอักเสบ หากมีขนาดใหญ่มาก จะเกิดอาการเจ็บปวดทรมานเรียกกันว่าสิวหัวช้าง

ต้นเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบก็คือแบคทีเรียที่มาจากสิ่งแวดล้อมภายนอกและภายในร่างกายระหว่างปฏิกิริยาของแบคทีเรียกับ คอมิโดน (Comedone)*

*คอมิโดน (Comedone) คือโมเลกุลของไขมัน เรียกได้ว่าเป็นจุดกำเนิดของการเกิดสิวอย่างแท้จริง

ส่วนประกอบของโมเลกุลจะมีชั้นไขมันสะสมตัวกันอยู่ภายในเซลล์ เป็นของเหลว มีน้ำมันที่ยังไม่แข็งตัว

มีการรวมตัวกับชั้นขี้ไคล เกิดขึ้นจากความผิดปกติของเซลล์ผนังท่อต่อมสร้างขี้ไคล

ทำให้ขี้ไคลเกิดการยึดตัวกันแน่ โดยไม่ยอมหลุดออกมา สุดท้ายเกิดการอุดตันปิดท่อไขมัน

กลายเป็นเม็ดสิวนูนขึ้นมา ในช่วงแรกจะเป็นสีผิวเดียวกันกับพื้นที่ๆ เกิด แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะอักเสบ บวมแดงเป็นสิวอักเสบที่มีหนองอยู่ด้านใน

รอยดําจากสิว เกิดจากอะไร?

รอยดําจากสิวที่เกิดขึ้นมาจากสิวอักเสบเป็นสำคัญแล้ว ลักษณะของรอยดําที่ปรากฏมาจากการที่เนื้อยื่อบริเวณที่เป็นสิวถูกทำลาย

เมื่อผิวกลับมาเรียบเนียนดังเดิมจะเหลือร่องรอยที่เรียกว่า “Surface discolorations” ทิ้งเอาไว้

ซึ่งมีทั้งเป็นรอยสีดำ (Post inflammatory hyperpigmentation), รอยสีแดง (Post inflammatory hypopigmentation) และรอยสีขาว (Post inflammatory hypopigmentation)

ขึ้นอยู่กับสภาพของสีผิวแต่ละคนและชาติพันธุ์ด้วย ซึ่งรอยดําเป็นรอยที่พบได้มากที่สุดในกลุ่มเอเชีย

และรอยสีนี้เป็นสีที่มีความเด่นมากกว่าสีอื่น อย่างไรก็ตามแผลเป็นแบบนี้ไม่ได้ส่งผลให้เกิดอันตรายกับร่างกายแต่อย่างใด

เพียงแค่จะทำให้สาวๆ หมดความมั่นใจ รู้สึกว่าผิวหน้าไม่เรียบสวย บางครั้งรอยดําจะค่อยๆ จางหายไปได้เอง

บางรายใช้เวลาราว 1-4 เดือน หรือเป็นปี หรือหากได้รับการกระทบกระเทือนบ่อยๆ

รอยดําจากสิวสามารถคงอยู่ถาวร และยังมีสีเข้มขึ้นจากการเสียดสีได้อีกด้วย

สิวอักเสบที่มีปัญหารุนแรง เช่นสิวหัวช้าง มีแผลค่อนข้างลึก เมื่อเป็นนานเข้าจะทำให้รอยดํามีสีเข้มมากกว่าสิวอักเสบที่มีขนาดเล็ก

และในกลุ่มที่เป็นสาวผิวเข้ม เม็ดสีเมลานินในร่างกายมาก รอยแผลเป็นเหล่านี้จะยิ่งมีสีดำเข้มได้เลยทีเดียว

การลดรอยดําจากสิว

1.การลดรอยดําจากสิวกรณีที่อาการไม่รุนแรง ปล่อยทิ้งเอาไว้ หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัส แกะ ถูไถ

หรือทำให้เกิดการเสียดสี รอยดังกล่าวจะสามารถหายไปได้เอง ซึ่งระยะเวลาก็จะแตกต่างกันออกไป

แต่ในกรณีที่มีอายุมาก ช่วงสาววัย 30 ปีขึ้นไป รอยดําจากสิวอาจจะหายยาก จำเป็นต้องรักษาด้วยทางอื่นเพิ่มเติม

2.ล้างทำความสะอาดหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเอง ด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิปกติ

หลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่นหรือน้ำเย็นจัด เพราะจะทำให้ผิวหน้าเกิดอาการระคายเคืองในส่วนของรูขุมขนตามมาได้

เน้นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ เช่น BHA และ AHA รวมไปถึงวิตามินซีที่ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอก เป็นตัวช่วยลดรอยดําจากสิวได้เป็นอย่างดี

3.หลีกเลี่ยงผิวหน้าที่เป็นรอยแผลเป็นจากสิวจากแสงแดด ความร้อน รังสียูวีชนิดต่างๆ และสารเคมีจากเครื่องสำอาง

โดยเฉพาะในสาวๆ ที่ต้องแต่งหน้าเป็นประจำ ควรหันมาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แต่งหน้าสูตรอ่อนโยน

ก่อนนอนควรใช้คลีนซิ่งทำความสะอาดผิวหน้าก่อนเป็นขั้นตอนแรกก่อนล้างหน้า

เพื่อจะได้ช่วยกำจัดเอาสารเคมีตกค้างออกไปให้ได้มากที่สุด

4.เพื่อช่วยลดรอยดําให้ได้ประสิทธิภาพควบคู่กับวิธีอื่นๆ ไปด้วย ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

เน้นผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี อี และเอ ซึ่งจะเป็นตัวเข้าไปช่วยปรับสภาพผิว

ทำให้แข็งแรง กระตุ้นการสร้างชั้นคอลลาเจน ทำให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอก คนที่มีรอยดําไม่มากนัก

จะสามารถกลับมามีผิวที่เรียบเนียนขาวใสได้ดังเดิม แต่ในกลุ่มที่มีรอยดําเข้มจัด

อาจจะไม่ทำให้หายไปได้ทั้งหมด เพียงแค่ช่วยลดเลือนให้จางลงเท่านั้น

การเลือกครีมลดรอยดําจากสิวให้ปลอดภัย

1.ครีมลดรอยดําจากสิวที่เหมาะสม สำหรับคนที่เพิ่งเข้ารับการรักษา ควรเลือกซื้อครีมที่ได้มาตรฐาน

มาจากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เลือกชนิดความเข้มข้นต่ำๆ ก่อน เพราะตัวครีมจะผสมสารที่มีสภาพเป็นกรด

เพื่อช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว พร้อมกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้เหมือนกับสีผิวเดิมมากที่สุด

โดยส่วนใหญ่มักจะมีส่วนผสมของกรดผลไม้ Alpha Hydroxy Acid หรือ AHA นั่นเอง

2.ครีมลดเลือนรอยดําที่ดี ควรมีส่วนผสมของวิตามินอีด้วย เพื่อเป็นตัวเร่งการซ่อมแซมผิวที่เสียหาย

และช่วยกระตุ้นการผลัดดเซลล์ผิว ทำให้รอยดําจางลงและหายไปในที่สุด

3.ดูที่ฉลากของผลิตภัณฑ์ด้วยว่าได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแล้วหรือไม่

เพราะส่วนใหญ่หากซื้อหาด้วยตัวเองตามท้องตลาด จะเป็นครีมที่ไม่ได้มาตรฐาน

เสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อผิวตามมา โดยเฉพาะสารปรอทที่ปนเปื้อนอยู่ในปริมาณสู

4.ครีมที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ และเชื่อถือได้ ส่วนมากอาจจะมีส่วนประกอบของเคมีบ้าง

แต่โดยรวมแล้วจะช่วยป้องกันการแพ้สารเคมีได้ดีกว่าในคนที่มีผิวแพ้ง่าย เช่น สารสกัดจากมะเขือเทศ,

สารสกัดจากแตงกวา และสารสกัดจากว่านหางจระเข้ เป็นต้น

5.ทดสอบผิวว่าตัวเองแพ้ครีมรักษารอยดําจากสิวหรือไม่ ด้วยการทดลองทาเป็นบริเวณเล็กๆ ที่ผิวหน้าดูก่อน

หากเกิดอาการแสบ บวมแดง หรือมีความผิดปกติอื่นๆ ให้รีบเช็ดออก และหลีกเลี่ยงการใช้อย่างเด็ดขาด

6.ควรเป็นครีมที่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวได้ดี โดยสังเกตว่าตัวครีมจะต้องไม่เหนียวเหนอะนะ

มีความละเอียด เกลี่ยได้ทั่วผิวหน้าแบบไม่ต้องออกแรงมาก โดยส่วนมากจะเป็นชนิดคล้ายเนื้อเซรั่ม ที่เข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว

7.กลิ่นของครีมลดรอยดําจากสิวที่ดี ไม่ควรมีกลิ่นน้ำหอมเจือปน ซึ่งเป็นสารเคมีที่ยิ่งไปกระตุ้นให้ผิวเกิดอาการระคายเคือง จนสิวเห่อขึ้นหน้ามากขึ้นได้

8.ใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) ซึ่งมีทั้งชนิดที่เป็นแบบวอร์เตอร์เบส และแบบแอลกอฮอล์ให้เลือก

ซึ่งการเลือกสำหรับสาวๆ นั้นขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน โดยสรรพคุณทั้งสองสามารถช่วยลดเลือนจุดด่างดำอันเกิดจากสิวได้

แต่กรณีที่สาวๆ เป็นคนมีผิวแพ้ง่าย แนะนำให้เลือกใช้แบบวอเตอร์เบส หรือเรียกอีกชือหนึ่งว่า “ดิฟเฟอริน” ที่จะมีผลข้างเคียงน้อยกว่าชนิดที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์

วิธีรักษารอยดําจากสิว

การรักษาด้วยเลเซอร์

ในปัจจุบันเลเซอร์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับการกำจัดรอยดําจากสิวและจุดด่างดำต่างๆ บนผิวหน้า

โดยจะเข้าไปแก้ไขให้เม็ดสีเกิดการกระจายตัว กลายเป็นสะเก็ดหลุดลอกออกมา

การทำเลเซอร์จะต้องทำซ้ำติดต่อกัน อย่างน้อยทุกๆ 2 อาทิตย์ จนกว่ารอยสิวจะจางลง

อีกทั้งเลเซอร์มีให้เลือกหลากหลายชนิด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผิวหน้า และแพทย์ที่รับการรักษาด้วย

การรักษาด้วยเครื่อง IPL

เป็นการรักษาที่ใช้วิธีนำเอาความเข้มแสงสูงผลักเข้าสู่ผิวหนังตามชื่อยาวๆ ของการรักษาวิธีนี้ว่า Intense Pulse Light

จะเป็นการช่วยกำจัดทั้งรอยดํา รอยแดง และรอยหมองคล้ำต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

แม้กระทั่งผิวหน้าที่เป็นฝ้า-กระ ก็ช่วยลดเลือนและกลับมามีผิวหน้าขาวกระจ่างใสได้

ในการรักษาจะต้องทำอย่างน้อย 3-4 ครั้ง ติดต่อกันทุก 2 สัปดาห์

การรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์

กรณีที่เป็นที่รอยดําจากสิวและมีรอยบุ๋มลึกลงไปกลายเป็นหลุมสิวชัดเจน

การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มร่องดังกล่าวให้กลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม

โดยสารที่นำใช้ฉีดจะเป็นไฮยารูรอนิค เอซิดและคอลาเจน ซึ่งจะช่วยให้เห็นผลได้ทันทีภายหลังการฉีด

แต่เป็นการรักษาชนิดไม่ถาวร เมื่อฟิลเลอร์สลายตัวไป รอยหลุมดังกล่าวก็จะกลับมาพร้อมความด่างดำได้

การรักษาด้วยการกรอผิวจากเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion – MD)

เป็นวิธีการรักษาด้วยการนำเอาผง Sodium chloride, Aluminum oxide หรือ  Sodium bicarbonate

ซึ่งมีขนาดเล็กมากกว่า 100 ไมครอน นิยมใช้สำหรับคนที่มีรอยดําจากสิวเข้มเป็นพิเศษ

ซึ่งจะเป็นการกรอจนทำให้ผิวเป็นรอยแดงขึ้นมาใหม่ ดังนั้นการรักษาจะต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะเสี่ยงที่จะทำให้เกิดรอยแผลเป็นตามมาหากทำแบบผิดวิธี

การรักษาด้วยการทำไอออนโตฟอรีซีส (Iontophoresis)

การรักษาที่คุ้นหูกันว่า “ไอออนโต” เป็นการดันเอาสารอาหารจำพวกวิตามินเข้าไปภายในชั้นผิวที่ลึกกว่าหนังกำพร้า

ข้อดีคือวิตามินเหล่านี้จะซึมซับเข้าไปจัดการปัญหาได้ดีกว่าการทาครีม ทำให้ประสิทธิภาพในการกำจัดรอยดําจากสิวดีขึ้นซึ่งวิตามินที่นิยมใช้จะอยู่ในกลุ่มวิตามินเอ อี และซี

ปริมาณความเข้มข้นที่ใช้ จะมีแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นผู้ประเมิน

การรักษาจะทำสัปดาห์ละไม่เกิน 2 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 8 ครั้ง ก็จะเห็นผลว่าวิธีนี้ลดรอยดําจากสิวได้ ซึ่งถือว่าต้องใช้เวลาพอสมควร

รอยดําจากสิว

Photo Credit : noahhealth.org

รอยดําจากสิวเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก

รวมถึงพฤติกรรมในการดูแลผิวแบบผิดๆ ทำให้การลดรอยดําจากสิวไม่ได้ประสิทธิภาพ

ทางที่ดีควรตัดไฟที่ต้นลมด้วยการป้องกันผิวหน้าไม่ให้เกิดสิวอักเสบและสิวอุดตัน ก่อนที่จะลุกลามกลายเป็นแผลเป็นที่รักษาได้ยากตามมานั่นเองค่ะ