โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ เป็นโรคที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก เพราะปัญหาทางสายตาไม่มีใครที่อยากให้เกิด
เนื่องจากดวงตาคือ อวัยวะที่ช่วยให้เราสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ชัดเจน หากไร้ซึ่งดวงตาแล้ว ย่อมทำให้ชีวิตมืดมน
ทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างไม่สะดวก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ยิ่งควรรู้ว่าโรคนี้เป็นอย่างไร
ปล่อยไว้นิ่งเฉยจะเกิดอันตรายตามมาอย่างไรบ้าง และจะมีวิธีรักษาให้หายได้หรือไม่ เราไปดูคำตอบพร้อมๆ กันเลย
โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ คืออะไร?
โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ (Cataracts) คือ โรคที่มีสาเหตุมาจากเลนส์แก้วตาที่มีความเสื่อมสมรรถภาพ
จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มองภาพต่างๆ ได้ไม่ชัดเจน หรืออาจจะเห็นเหมือนมีเมฆมาลอยบังตาหรือมีไอน้ำเกาะอยู่ที่ลูกตา
สำหรับโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุนั้น จะไม่ได้เกิดขึ้นโดยทันที เพราะอาการจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ในช่วงแรกจึงจะยังไม่สามารถจับอาการได้ว่ากำลังเริ่มเป็นโรคต้อกระจก
สาเหตุของโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุนั้น อย่างแรกเลยคือ ความเสื่อมที่เกิดขึ้นตามอายุ เนื่องจากโปรตีนที่ถูกส่งไปที่เลนส์ตาและอาจจะจับตัวเป็นก้อน
ทำให้เหมือนมีฝ้าขึ้นในกระจกตา แต่ทั้งนี้ก็ยังมีสาเหตุอยู่อื่นๆ ที่สามารถทำให้เกิดโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุได้ ซึ่งก็มีดังนี้
1.โรค
มีหลายโรคที่สามารถส่งผลทำให้เป็นโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุได้ ซึ่งได้แก่ โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง และโรคสายตาสั้น
2.พฤติกรรม
พฤติกรรมบางอย่างก็ส่งผลทำให้เกิดโรคได้ ไม่ว่าจะเป็นการจ้องคอมพิวเตอร์ หรือจอมือถือเป็นเวลานานบ่อยๆ การสูบบุหรี่
การเผชิญกับรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดมากเกินไป และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก เป็นต้น
3.ยา
ยาเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ส่งผลได้เช่นเดียวกัน โดยจะส่งผลในรูปแบบของการออกซิเดชั่นเข้ามาในเลนส์ตา
ซึ่งยาที่สามารถส่งผลได้ก็คือ ยา Corticosteroid ยาลดคอเลสเตอรอล และยาบำบัดฮอร์โมน
นอกจากนี้ ยังมีกระบวนการของร่างกายที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุขึ้นได้ ส่วนแรกคือ เริ่มจากอายุที่มากขึ้นก็จะทำให้เลนส์ในดวงตาลดความยืดหยุ่น
และความโปร่งใสก็ลดลง แต่ทั้งนี้ก็จะไม่ได้มีการหยุดพัฒนาในการที่เลนส์ดวงตาจะยืดหยุ่นน้อยลง
ดังนั้น จะทำให้เกิดการขุ่นมัวขึ้นได้เรื่อยๆ และสามารถทำให้ทึบได้เลย ซึ่งบางคนก็อาจจะเกิดขึ้นได้กับดวงตาทั้ง 2 ข้าง
ชนิดของโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ
สำหรับโรคต้อกระจกที่เกิดในผู้สูงอายุ มีอยู่หลากหลายชนิด โดยสามารถแบ่งได้ ดังนี้
1.ต้อกระจกกับศูนย์กลางของเลนส์ (nuclear cataracts)
หากเป็นต้อกระจกที่เริ่มจากศูนย์กลางของเลนส์ ก็จะทำให้เกิดอาการสายตาสั้น แต่จะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
หรือบางครั้งก็อาจจะกระทบกับวิสัยทัศน์ในการมองเห็น นอกจากนี้ ยังมองเห็นเป็นสีเหลืองรวมถึงมีฝ้าหนามากยิ่งขึ้น
หลังจากนั้นจึงจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและจะเป็นปัญหาต่อการแยกเฉดสีอีกด้วย
2.ต้อกระจกกับขอบของเลนส์ (cortical cataracts)
ต้อกระจกชนิดนี้จะเริ่มจากผลกระทบที่ทำให้เห็นลายเส้นบริเวณขอบของเลนส์ด้านนอก
หรือจะเรียกได้ว่าเริ่มเห็นเส้นขอบสีขาวๆ และจะเริ่มขยายไปยังบริเวณกลางดวงตา ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบได้เช่นเดียวกัน
3.ต้อกระจกกับด้านหลังของเลนส์ (posterior subcapsular cataracts)
อาการชนิดนี้ในระยะแรกจะเริ่มเป็นจากบริเวณเล็กๆ โดยจะมีผลกระทบต่อการใช้สายตาในการอ่านหนังสือ
มากกว่าการมองเห็นโดยทั่วไป ซึ่งสามารถทำให้เกิดแสงสะท้อนภายในดวงตาได้ และอาการจะพัฒนาเร็วกว่าชนิดอื่นๆ
4.ต้อกระจกตั้งแต่กำเนิด (congenital cataracts)
การเป็นต้อกระจกตั้งแต่กำเนิด ส่วนใหญ่จะเป็นเพราะแม่เป็นหัดเยอรมันในการตั้งครรภ์ช่วงแรก หรืออาจเกิดจากภาวะทุพโภชนาการ
อาการของโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ
สำหรับอาการโรคต้อกระจกที่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุ มีให้สังเกตได้หลากหลายอาการ ซึ่งอาการเหล่านั้นก็มีดังนี้
- ตามัว
- มองเห็นภาพซ้อน
- มองเห็นแสงไฟกระจาย
- มองเห็นภาพสีเหลือง
- อ่านหนังสือได้ลำบากมากยิ่งขึ้น
- ปวดตา
- ปวดศีรษะ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ
สำหรับภาวะแทรกซ้อนของโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุอาจจะมีความอันตราย เนื่องจากเมื่อเป็นโรคต้อกระจก
และปล่อยให้ต้อสุกโดยที่ไม่มีการรักษาหรือดูแลใดๆ ก็จะทำให้เป็นปัญหาต่อดวงตาอย่างร้ายแรงคือ ทำให้ตาบอดสนิท
หรือบางรายก็อาจจะกลายเป็นปัญหาที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน และกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันคือ อาจจะปวดตาอยู่ตลอดเวลา
การวินิจฉัยโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ
สำหรับการวินิจฉัยโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ อย่างแรกจะต้องมีการบอกรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย
หลังจากนั้นแพทย์จึงจะทำการตรวจตา โดยอาจจะต้องมีการตรวจด้วยห้องปฏิบัติการ เช่น
1.การทดสอบการมองเห็น
การทดสอบการมองเห็นจะมีการใช้แผนภูมิเพื่อตรวจวัดว่าสามารถอ่านชุดตัวอักษรได้ตามที่กำหนดหรือไม่
และเป็นการวัดคุณภาพวิสัยทัศน์ของการมองเห็น โดยชุดตัวอักษรที่ว่าจะไล่ตั้งแต่ขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็ก
2.การตรวจ Slit-lamp
การตรวจชนิดนี้เป็นการตรวจที่จะทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
โดยเป็นการตรวจผ่านเครื่องหรือกล้องจุลทรรศน์ที่จะใช้ขยายภายในดวงตาให้สามารถมองเห็นโครงสร้างที่ชัดเจนได้มากยิ่งขึ้น
3.การตรวจจอประสาทตา
การตรวจจอประสาทตา อย่างแรกจะต้องมีการหยดน้ำยาเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม และทำให้จอประสาทตาขยายมากยิ่งขึ้น
หลังจากนั้นแพทย์ก็จะทำการตรวจสอบด้านในดวงตาคือ จอ retina เพื่อหาความผิดปกติ
วิธีรักษาโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ
สำหรับวิธีรักษาโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ วิธีเดียวที่สามารถช่วยรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ การผ่าตัด แต่ทั้งนี้ต้องทำความเข้าใจการรักษาด้วยการผ่าตัดเพิ่มขึ้น ดังนี้
การผ่าตัดโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุคือ การผ่าตัดเพื่อที่จะนำเลนส์กระจกที่มีความเสียหายออก
แล้วนำเลนส์ใหม่มาใช้แทนที่ โดยมีรูปแบบหรือมีชนิดของเลนส์ที่สามารถนำมาใช้แทนได้หลากหลาย
โดยรูปแบบของการผ่าตัดก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.การผ่าตัดแบบ Phacoemulsification
สำหรับการผ่าตัดรูปแบบนี้จะทำให้เกิดแผลขนาดเล็กอยู่บริเวณขอบกระจกตา แต่ถึงแม้จะเป็นการผ่าตัด
แต่ในความเป็นจริงจะใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อช่วยสลายต้อกระจก โดยการรักษารูปแบบนี้จะใช้ระยะเวลาในการรักษาที่ไม่นาน
2.การผ่าตัดแบบ Extracapsular
การผ่าตัดรูปแบบนี้อาจทำให้มีแผลขนาด 10-12 มิลลิเมตร อยู่ที่ด้านหน้าของเลนส์ตา ซึ่งรูปแบบการผ่าตัดนั้น
จะเป็นการนำเลนส์กระจกตาเก่าออก แล้วนำเลนส์กระจกตาใหม่เปลี่ยนเข้าไป ซึ่งจะใช้เลเซอร์เป็นตัวช่วย
ชนิดของเลนส์
อย่างที่ทราบกันในช่วงต้นคือ เมื่อผ่าตัดนำเลนส์กระจกตาเก่าออก แพทย์ก็จะนำกระจกตาใหม่มาเปลี่ยนแทนให้
แต่อาจจะต้องมีการเลือกวัสดุในการใช้เพื่อกระจกตาด้วยเช่นกัน โดยชนิดของเลนส์ก็มีด้วยกันหลากหลาย ดังนี้
1.เลนส์แก้วตาเทียมเพื่อปัญหาสายตา (Multifocal IOL)
สำหรับเลนส์รูปแบบนี้จะพัฒนามาใช้สำหรับการแก้ปัญหาสายตาให้กับผู้ป่วยโดยเฉพาะ โดยจะทำให้เกิดความสมดุลในการโฟกัสภาพ
สามารถช่วยปรับสมดุลในการโฟกัสไปตามกิจกรรมที่ทำ ดังนั้น เมื่อเปลี่ยนเลนส์แล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้อุปกรณ์อื่นๆ ในการช่วยเพื่อปรับการมองเห็นดีขึ้นเหมือนที่ผ่านมา
2.เลนส์แก้วตาแบบธรรมดา (Standard IOL)
สำหรับเลนส์แก้วตาแบบธรรมดา จะมีลักษณะแบบใส แต่จะมีความแตกต่างตรงที่สามารถกรองแสงอัลตราไวโอเลตได้
และสามารถช่วยในการมองเห็นได้เป็นปกติ แต่อาจจะไม่พิเศษเท่ากับเลนส์เพื่อแก้ปัญหาสายตาโดยเฉพาะ
3.เลนส์แก้วตาเพื่อความคมชัด (Aspheric IOL)
เป็นเลนส์แก้วตาที่ถูกพัฒนามาจากเลนส์แก้วตาแบบธรรมดา โดยจะมีการใส่เทคโนโลยีเพิ่มเข้าไป คือ WaveFront
ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความคมชัดให้กับการมองเห็น และเป็นเลนที่สามารถช่วยกรองแสงสีฟ้าได้เป็นอย่างดี
วิธีป้องกันโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ
สำหรับวิธีป้องกันโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ สามารถเริ่มได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน โดยสามารถทำได้ดังนี้
1.เลือกกินอาหาร
หลายงานวิจัยได้มีการวิจัยออกมาว่าการเลือกรับประทานอาหาร มีส่วนสำคัญที่จะส่งผลในเรื่องของการป้องกันโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุได้
โดยอาหารที่เหมาะสม ได้แก่ ส้มชนิดต่างๆ มะเขือเทศ พริกสีแดงและเขียว กีวี่ บร็อคโคลี่ สตรอว์เบอร์รี่ แคนตาลูป และมันฝรั่ง เป็นต้น
2.เลิกสูบบุหรี่
การเลิกสูบบุหรี่ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะบุหรี่เป็นสิ่งที่จะสร้างอนุมูลอิสระขึ้นมาในตา ทำให้บดบังการมองเห็น และยังสร้างสารพิษเข้ามาในดวงตาอีกด้วย
3.การใส่แว่นตา
การใส่แว่นตา สามารถที่จะช่วยในเรื่องของการป้องกันรังสียูวี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจก โดยควรเลือกแว่นตาที่สามารถช่วยป้องกันทั้งแสงแดด และแสงจากจอคอมพิวเตอร์ได้
Credit : alwaystherehealthcare.com
โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ แม้ไม่ใช่โรคร้ายแรงที่ส่งผลกระทบถึงแก่ชีวิต แต่เมื่อเป็นโรคนี้แล้ว ผู้สูงอายุหลายคนก็ย่อมเกิดความรู้สึกหงุดหงิดกับสภาพดวงตาที่ผิดปกติ
เพราะจะทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจนดังเดิม ซึ่งหากปล่อยไว้จนเกิดอาการรุนแรงก็ยังเสี่ยงต่อการตาบอดสนิทได้อีกด้วย
ดังนั้น ควรใส่ใจป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ และควรพบแพทย์หากพบว่าสุขภาพดวงตามีปัญหา
เพื่อที่แพทย์จะได้รับมือให้การรักษาได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่ปัญหาสายตาจะแย่บานปลายหนักไปกว่าเดิม