โรคปอดอักเสบ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า โรคปอดบวม เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัย
และยังนับเป็นโรคที่อยู่ใกล้ตัวคนเราทุกคนอย่างมาก ดังนั้น เราจึงควรดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ
เพื่อลดโอกาสในการเจ็บป่วยเป็นโรคดังกล่าว ในวันนี้เราจึงหยิบเอาสาระความรู้เกี่ยวกับโรคปอดอักเสบมาให้ทุกคนได้ศึกษาทำความเข้าใจกัน
โรคปอดอักเสบคืออะไร สาเหตุ อาการ และวิธีรักษาป้องกันทำได้อย่างไรบ้าง รีบไปติดตามพร้อมๆ กันเลยค่ะ
โรคปอดอักเสบ คืออะไร?
โรคปอดอักเสบ (pneumonia) คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อของแบคทีเรียภายในปอด สำหรับบางรายอาจจะเป็นเพียงแค่ข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้
สาเหตุของโรคปอดอักเสบ
สำหรับสาเหตุหลักของโรคปอดอักเสบจะเกิดขึ้นจากการติดเชื้อ แต่รูปแบบของการติดเชื้อจะสามารถเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ โดยอธิบายได้ดังนี้
1.โรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อในชุมชน
โรคปอดอักเสบ สามารถที่จะติดเชื้อขึ้นได้หลายชนิด โดยส่วนใหญ่มักจะติดเชื้อในบริเวณชุมชนหรือที่อยู่อาศัย โดยแบ่งได้ดังนี้
เชื้อแบคทีเรีย สำหรับเชื้อแบคทีเรียถือเป็นสาเหตุหลักของโรคปอดอักเสบ โดยจะติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น Streptococcus, Chlamydophila และ Legionella
เชื้อไวรัส เป็นเชื้อที่ส่งผลต่อเด็กและผู้สูงอายุเป็นส่วนมาก โดยเชื้อที่ส่งผล คือ Respiratory syncytial virus
แต่อาการจะไม่รุนแรงเท่ากับการติดเชื้อแบคทีเรียและใช้ระยะเวลาในการรักษาไม่นาน
เชื้อไมโครพลาสม่า เป็นเซลล์ที่มีลักษณะเฉพาะไม่เหมือนกับเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
โดยจะทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจ ส่วนใหญ่แล้วจะทำให้เกิดกับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ขวบ
เชื้อรา สาเหตุเกิดจากการสูดดมหรือได้กลิ่นดินหรือมูลนกมากจนเกินไป
ทำให้เชื้อราที่อยู่ในดินเข้าไปในระบบทางเดินหายใจ และทำให้เกิดการอักเสบจนเป็นโรคปอดอักเสบได้
2.โรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อในโรงพยาบาล
บางรายอาจจะมีปัญหาในขณะที่ไปโรงพยาบาล แล้วได้รับเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสในขณะที่อ่อนแอ
โดยอาจจะรับเชื้อโรคเหล่านี้ผ่านทางระบบทางเดินหายใจ และทำให้เชื้อโรคฟักตัวจนส่งผลทำให้เกิดโรคปอดอักเสบ
นอกจากนี้ ในผู้ป่วยบางรายก็อาจจะเกิดการติดเชื้อโรคปอดอักเสบได้จากการใช้เครื่องช่วยหายใจเช่นกัน
3.โรคปอดอักเสบจากการสำลักอาหาร
เป็นสาเหตุที่มักจะเกิดกับผู้ป่วยนอนติดเตียง เกิดการสำลักเศษอาหาร หรือเครื่องดื่ม ทำให้สิ่งเหล่านั้นเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง
แต่หากเป็นผู้ป่วยนอนติดเตียงก็อาจจะเป็นการสำลักได้แบบไม่รู้ตัว แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งผ่าคลอด
ก็อาจจะเป็นการสำลักที่รวดเร็วและมีปริมาณเศษอาหารหรือเครื่องดื่มไหลเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจได้มากกว่า
ผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคปอดอักเสบ
สำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงเป็นโรคปอดอักเสบมากที่สุดคือ กลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไป และกลุ่มอายุน้อยกว่า 2 ปี โดยทั้งนี้อาจจะมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ร่วมด้วย คือ
- โรคเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคหอบ หรือโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับปอด
- การรักษา หากกรณีต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ก็อาจจะทำให้เกิดการเพาะตัวของเชื้อต่างๆ ได้ง่าย
- การสูบบุหรี่ สามารถที่จะสร้างความเสียหายให้กับปอด จึงทำให้ไม่สามารกำจัดเชื้อต่างๆ ออกจากปอดได้
- ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายอ่อนแอ ผู้ที่มีโอกาส เช่น ผู้มีเชื้อเอชไอวี ผู้ที่ต้องปลูกถ่ายอวัยวะ หรือแม้แต่การได้รับการบำบัดจากยาและเคมีมาอย่างยาวนาน
อาการของโรคปอดอักเสบ
อาการของโรคปอดอักเสบก็ขึ้นอยู่กับร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย เนื่องจากหากร่างกายอ่อนแอ
ก็จะทำให้สามารถแสดงอาการออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น โดยอาการที่แสดงออกมีดังนี้
- เจ็บหน้าอก
- มึนงง
- มีเสมหะ
- ไอ
- มีไข้
- เหงื่อออกมาก
- หนาวสั่น
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- ท้องเสีย
- หายใจถี่
อาการอื่นๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อชนิดต่างๆ
นอกจากอาการเบื้องต้นแล้ว ยังสามารถที่จะแบ่งอาการได้จากการติดเชื้อชนิดต่างๆ ได้อีกดังนี้
ติดเชื้อแบคทีเรีย หากเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยจะมีไข้ทันที หลังจากนั้นก็จะมีอาการเหงื่อออกมาก และริมฝีปากรวมถึงเล็บจะมีสีที่ซีดลง
ติดเชื้อไวรัส เริ่มแรกอาการจะเหมือนไข้หวัดทั่วไป หลังจากนั้นจะมีปัญหาที่ระบบทางเดินหายใจ และภายใน 12-36 ชั่วโมง ผู้ป่วยก็จะเริ่มเป็นไข้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคปอดอักเสบ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคปอดอักเสบ สามารถที่จะเกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยทุกราย แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายด้วย โดยภาวะแทรกซ้อนของโรคที่พบมีดังนี้
ภาวะน้ำท่วมปอด เมื่อเกิดการติดเชื้อทำให้ปอดบวม ของเหลวที่อยู่บริเวณนั้นจะไม่สามารถไหลออกได้ จึงทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอด โดยจะต้องรีบเข้ารับการรักษาในทันที
ฝีที่ปอด จะเกิดขึ้นภายในโพรงปอด สาเหตุจะมาจากการติดเชื้อ แต่สามารถรักษาได้ด้วยการทานยา หรือการผ่าตัด
ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด สาเหตุเกิดจากแบคทีเรียที่ปอดมีการลุกลามและแพร่ไปยังอวัยวะอื่นๆ ผ่านทางกระแสเลือด ก็จะทำให้ระบบภายในร่างกายล้มเหลวได้ง่ายมากขึ้น
การวินิจฉัยโรคปอดอักเสบ
ส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะเริ่มจากการถามคำถามกับผู้ป่วย เกี่ยวกับอาการรวมถึงประวัติของคนในครอบครัว
หรือแม้แต่ประวัติการเข้ารับการรักษา นอกจากนี้ แพทย์จะทำการตรวจร่างกายผ่านผลตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมด้วย ดังนี้
การตรวจเลือด เป็นการตรวจเพื่อที่จะหาเชื้อที่เป็นสาเหตุ
การทดสอบเสมหะ เป็นการตรวจเพื่อที่จะหาเชื้อที่เป็นสาเหตุ
การเอกซเรย์ทรวงอก เป็นการตรวจเพื่อหาความผิดปกติภายในทรวงอก
การตรวจปัสสาวะ การตรวจเพื่อที่จะหาเชื้อ Streptococcus และ Legionella
การตรวจของเหลวอื่นๆ เป็นการตรวจเพื่อที่จะหาเชื้อที่เป็นสาเหตุ ผ่านการเจาะเข็มลงไประหว่างซี่โครง
วิธีรักษาโรคปอดอักเสบ
สำหรับวิธีรักษาโรคปอดอักเสบ สามารถที่จะแบ่งการรักษาได้ตามระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยแต่ละราย ดังนี้
1.โรคปอดอักเสบ ระดับเริ่มต้น
เป็นอาการโรคปอดอักเสบที่ยังไม่มีอาการที่ร้ายแรง ซึ่งวิธีรักษาจะเริ่มจากการจ่ายยาปฏิชีวนะ รวมถึงผู้ป่วยจะต้องพักฟื้น 7-10 วัน
โดยไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และอาการจะเริ่มดีขึ้นตามลำดับในระยะเวลา 48 ชั่วโมง
2.โรคปอดอักเสบ ระดับปานกลาง
โรคปอดอักเสบระดับปานกลาง เป็นอาการที่ระบบทางเดินหายใจมีการทำงานแย่ลง ซึ่งแพทย์จะทำการจ่ายยาปฏิชีวนะให้กับผู้ป่วย
แต่จะเปลี่ยนชนิดของการให้ยาปฏิชีวนะ โดยจะให้ยาปฏิชีวนะผ่านทางหลอดเลือดดำเพื่อให้ระบบภายในร่างกายได้รับยาทันที
นอกจากนี้ อาจจะต้องเพิ่มความเข้มข้นให้กับออกซิเจนภายในเลือดร่วมด้วย
3.โรคปอดอักเสบ ระดับรุนแรง
เมื่อผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ เกิดอาการอักเสบขั้นรุนแรง แพทย์จะต้องทำการใส่ท่อเพื่อช่วยหายใจ
เนื่องจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลว พร้อมกันนี้ แพทย์จะทำการจ่ายยาปฏิชีวนะผ่านทางหลอดเลือดดำเช่นเดียวกัน
แต่จะต้องมีการจ่ายยาช่วยเพิ่มความดันโลหิตเพื่อป้องกันภาวะช็อกที่จะเกิดขึ้นให้แก่ผู้ป่วยร่วมด้วย
วิธีป้องกันโรคปอดอักเสบ
โรคปอดอักเสบ สามารถที่จะป้องกันได้ตั้งแต่ยังเด็ก นอกจากนี้ ก็ยังสามารถป้องกันได้จากพฤติกรรมการใช้ชีวิต คือ
1.การฉีดวัคซีน
การฉีดวัคซีนนั้นสามารถที่จะแบ่งได้ 2 รูปแบบคือ การฉีดวัคซีนตั้งแต่ยังเด็ก และการฉีดวัคซีนในขณะที่ร่างกายอ่อนแอ
การฉีดวัคซีนตั้งแต่ยังเด็ก จะเริ่มฉีดในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งจะเป็นการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ที่สามารถทำให้เกิดโรคปอดอักเสบได้
การฉีดวัคซีนในขณะที่ร่างกายอ่อนแอ เป็นวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ สามารถที่จะฉีดได้ตั้งแต่อายุ 18-64 ปี
2.การรักษาความสะอาด
การรักษาความสะอาดเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการทำความสะอาดมือ เนื่องจากมือสามารถสัมผัสกับเชื้อโรคได้หลากหลายชนิด
และสัมผัสกับอาหาร จึงทำให้เชื้อโรคผ่านเข้าไปในร่างกายได้ง่าย ทางที่ดีควรหมั่นล้างมือบ่อยๆ และล้างอย่างถูกวิธี
3.การดูแลตัวเอง
เพื่อป้องกันโรคปอดอักเสบได้อย่างมากขึ้น การดูแลตัวเองก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีความสำคัญ
โดยจะต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่สม่ำเสมอ โดยใส่ใจตั้งแต่การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
และหมั่นออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ หากร่างกายได้รับสารอาหารหรือวิตามินแร่ธาตุไม่เพียงพอ
ก็ควรรับประทานวิตามินเสริมเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
เพราะเมื่อระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง โอกาสในการติดเชื้อจนเจ็บป่วยก็จะลดน้อยลง
โรคปอดอักเสบ เมื่อเกิดโรคนี้ขึ้นแล้ว แน่นอนว่าย่อมสามารถก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายได้
จากการที่ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ดังนั้น จึงควรดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ
และเมื่อเกิดอาการผิดปกติทางร่างกายก็ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาอย่างถูกต้องต่อไปจะดีที่สุด