โรคฝีในสมอง โรคร้ายที่อันตรายถึงแก่ชีวิต

โรคฝีในสมอง Brain abscess

โรคฝีในสมอง เป็นโรคที่คนไทยอาจจะไม่ค่อยรู้จักกันเท่าไร แต่เมื่อโรคนี้กลายเป็นโรคที่คร่าชีวิตนักร้องหนุ่มคนดังอย่าง “บิ๊ก D2B”

ก็ทำให้สังคมไทยเกิดความตื่นตัวมากยิ่งขึ้น รวมทั้งแพทย์ด้วยที่ต้องใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการรักษา ซึ่งทุกคนก็คงจำกันได้ดีว่า

ก่อนที่บิ๊กจะเสียชีวิตจากโรคนี้ จุดเริ่มต้นเกิดจากการที่บิ๊กขับรถตกลงไปในคูน้ำ ซึ่งสิ่งสกปรกและแบคทีเรียต่าง ๆ ได้ชอนไชเข้าไปในสมองของบิ๊ก

ส่งผลให้ในสมองเกิดฝีหนองขึ้นมา ต้องผ่าออกหลายรอบ และสุดท้ายก็ทำให้บิ๊กกลายเป็นเจ้าชายนิทรา และเสียชีวิตจากการติดเชื้อไปในที่สุด

เราจึงอยากจะขอแนะนำให้รู้จักกับโรคนี้มากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้ป้องกัน และรักษาได้อย่างทันท่วงที เพราะหลังจากเกิดกรณีของบิ๊ก D2B แล้ว

แพทย์ก็ได้พบกับยารักษาโรคฝีในสมอง ที่อาจจะมีราคาสูง แต่ก็ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง แม้จะไม่เป็นปกติเหมือนเดิมเพราะประสาทถูกทำลายไปแล้วก็ตาม

โรคฝีในสมอง คืออะไร?

โรคฝีในสมอง (Brain abscess) เป็นโรคที่เกิดจากการที่สมองติดเชื้อแบคทีเรีย ชนิด strephyloccus ทำให้เกิดฝีหนองในสมอง

ซึ่งจะส่งผลต่าง ๆ ต่อสมองได้ โดยเฉพาะในเรื่องของการที่เชื้อโรคเข้าไปกัดกินและทำลายส่วนต่าง ๆ ของเซลล์สมอง

มีผลให้ร่างกายไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ มีโอกาสที่จะกลายเป็นอัมพาต เป็นเจ้าชายนิทราหรือเสียชีวิตได้

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ซึ่งโรคนี้สามารถพบได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่อาจจะพบกับผู้ที่มีอาการของโรคหูน้ำหนวก

โรคหัวใจพิการ และผู้ที่ประสบอุบัติเหตุเช่นเดียวกับบิ๊ก D2B มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป

สาเหตุของโรคฝีในสมอง

สาเหตุหลัก ๆ ของการเกิดโรคฝีในสมอง ก็คือการติดเชื้อนั่นเอง แต่ในทางการแพทย์ก็ได้มีการแบ่งการติดเชื้อที่นำไปสู่โรคฝีในสมองไว้ 3 ประเภท ได้แก่

ประเภทที่ 1 การติดเชื้อที่อวัยวะส่วนอื่น ที่อยู่ใกล้เคียงกับสมอง ได้แก่ บริเวณคอ หู จมูก ใบหน้า ศีรษะ ซึ่งจะทำให้เชื้อโรคหรือแบคทีเรียต่าง ๆ กระจายเข้าสู่สมองได้

ประเภทที่ 2 การติดเชื้อในกระแสเลือด การติดเชื้อประเภทนี้มีความน่ากลัวมาก เพราะเมื่อเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว

จะทำให้เลือดเป็นพิษ และส่งผลต่ออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ที่ต้องมีการใช้เลือดหล่อเลี้ยง รวมไปถึงสมองด้วย

ประเภทที่ 3 การติดเชื้อภายในสมองโดยตรง การติดเชื้อประเภทนี้มักเกิดจากอุบัติเหตุเสียเป็นส่วนใหญ่

เช่น การกระแทกบริเวณศีรษะจนเกิดบาดแผล ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่สมอง รวมทั้งยังอาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อน ในกรณีที่มีการผ่าตัดสมองได้อีกด้วย

เมื่อเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าสู่สมองแล้ว ภายในระยะเวลา 3 วันหากไม่มีการรักษาหรือทำลายเชื้อโรคให้หมด

ก็จะทำให้เนื้อสมองเกิดการอักเสบขึ้น และค่อย ๆ พัฒนากลายเป็นฝีหนองต่อไป

อาการของโรคฝีในสมอง

สำหรับอาการของผู้ป่วยที่เป็นโรคฝีในสมอง มักจะส่งผลกับระบบประสาท ที่มีผลต่อการควบคุมร่างกาย โดยจะมีอาการทั่วไปดังต่อไปนี้

  • รู้สึกเวียนหัว มึนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
  • ไม่สามารถทรงตัวได้ตามปกติ มีอาการตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด
  • มีไข้สูง ร่วมกับมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง บางครั้งอาจถึงขั้นหมดสติ
  • แขนขาอ่อนแรง อาจจะพบว่ามีอาการชักเกิดขึ้นด้วย
  • มีหนองไหลออกมาจากหู ทั้งที่ไม่ได้เป็นโรคหูน้ำหนวก

วิธีรักษาโรคฝีในสมอง

การรักษาโรคฝีในสมองนั้น ค่อนข้างเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากพอสมควร เพราะผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการรักษาในห้องปลอดเชื้อ

และต้องอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อคอยดูอาการตลอดเวลา ซึ่งแพทย์จะเริ่มจากการรักษาด้วยการให้ยาต้านจุลชีพ

ที่จะไปยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อโรคต่าง ๆ เป็นเวลา 45 วัน หรือจนกว่าฝีในสมองจะค่อย ๆ ลดลงไป

แต่หากการรักษาด้วยวิธีนี้ไม่ได้ผล แพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดสมอง เพื่อเอาฝีหนองออกให้หมด

พร้อมกันนี้ ก็จะต้องมีการดูแลผู้ป่วยอย่างเข้มงวดมากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมา ผู้ป่วยสามารถหายได้เป็นปกติจากการรักษาด้วยทั้ง 2 วิธีนี้

แต่อาจจะพบความผิดปกติบางอย่างที่เกิดจากการที่สมองถูกทำลาย เช่น การเป็นอัมพาตครึ่งซีก แขนขาอ่อนแรง รวมไปถึงมีอาการชักอยู่บ่อย ๆ

วิธีป้องกันโรคฝีในสมอง

สำหรับการป้องกันนั้น ทำได้ด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยสามารถทำได้ดังนี้

1.ดูแลร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ และทานอาหารให้ถูกต้องตามโภชนาการ

2.พยายามใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง ไม่ควรให้ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนจนเกิดบาดแผลใด ๆ ทั้งสิ้น หรือหากเกิดบาดแผล ก็ต้องรีบทำการรักษาทันทีเพื่อไม่ให้แผลติดเชื้อ

3.หากพบความผิดปกติใด ๆ ของร่างกาย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาไม่ให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนต่อไป

Credit : ivona.bigmir.net

โรคฝีในสมอง เป็นโรคร้ายที่มีความอันตรายสูงมาก และต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาตัวที่นาน เปอร์เซ็นต์ที่จะหายเป็นปกติก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค

และความแข็งแรงของผู้ป่วยเอง เพราะฉะนั้นจึงควรดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดโรคนี้ขึ้น จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด