โรคหูชั้นในอักเสบ เป็นโรคเกี่ยวกับหูชนิดหนึ่งที่สามารถระบาดและติดต่อกันได้ โดยทั่วไปแล้วอาการจะคล้าย ๆ กับโรคหูชั้นกลางอักเสบ
แต่มีความรุนแรงมากกว่า และสามารถพบได้มากพอๆ กัน เพียงแต่โรคนี้จะเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก
และอาจพบโรคอื่นแทรกซ้อนอยู่ด้วย นับว่าเป็นโรคเกี่ยวกับหูที่ค่อนข้างจะมีความรุนแรงและอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้นจึงควรทำความรู้จักกับโรคหูชั้นในอักเสบให้มากขึ้น เพื่อจะได้ป้องกันและรักษาอย่างถูกต้องตามวิธีทางการแพทย์ต่อไป
โรคหูชั้นในอักเสบ คืออะไร?
โรคหูชั้นในอักเสบ (Labyrinthitis) เป็นโรคที่หูชั้นใน (อวัยวะส่วนที่เรียกว่า คอเคลีย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการได้ยิน และ เซมิเซอร์คิวลา คาแนล ที่เกี่ยวข้องกับการทรงตัว รวมกันเรียกว่า หูชั้นใน)
เกิดการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส และแบคทีเรียบริเวณทางเดินหายใจส่วนบน โดยอาจมีสาเหตุมาจากการเป็นหวัดมาก่อน หรือเป็นโรคเกี่ยวไซนัสอักเสบ และทอนซิลอักเสบ (คล้ายกับโรคหูชั้นกลางอักเสบ)
บางครั้งอาจพบการติดเชื้อที่มาจากหูชั้นกลางอักเสบก่อน แล้วลุกลามมาถึงหูชั้นใน ถ้าหากรีบไปพบแพทย์ก็สามารถรักษาให้หายได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน
สาเหตุของโรคหูชั้นในอักเสบ
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า โรคหูชั้นในอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสเป็นหลัก โดยมีปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
การป่วยเป็นไข้หวัดชนิดรุนแรง รวมถึงการเป็นโรคทอนซิลอักเสบและไซนัสอักเสบ แล้วไม่รีบทำการรักษา เป็นเหตุให้เชื้อโรคมีการลุกลามเข้าไปสู่หูชั้นใน
การป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น งูสวัด โรคเริม โรคอีสุกอีใส
การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เป็นเหตุให้ร่างกายอ่อนแอลง ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ
การเป็นโรคภูมิแพ้ แล้วได้รับสิ่งก่อภูมิแพ้จนเป็นเหตุให้ไม่สบาย ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคหูชั้นในอักเสบได้
อาการของโรคหูชั้นในอักเสบ
โดยทั่วไป อาการของโรคหูชั้นในอักเสบ มีตั้งแต่อาการเริ่มต้นไปจนถึงอาการรุนแรง คือ
- มีอาการวิงเวียนศีรษะ ทรงตัวไม่อยู่ โดยเฉพาะเมื่อลุกจากที่นอนในช่วงเช้า
- มีอาการคลื่นไส้ชั่วขณะหรือเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะเมื่อมีการหันศีรษะแบบเร็ว ๆ
- มีอาการอาเจียน ตากระตุก หูอื้อ
- รู้สึกปวดหูอย่างรุนแรง บางครั้งก็รู้สึกถึงการหูดับไปเฉย ๆ แล้วก็หายเอง
แต่ก็ไม่ใช่ว่า หากมีอาการเหล่านี้แล้วจะหมายถึงการเป็นโรคหูชั้นในอักเสบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เพราะยังมีโรคอื่น ๆ ที่มีอาการนำแบบนี้เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น
โรคเนื้องอกในสมอง
ผู้ป่วยมักจะมีอาการทรงตัวไม่ค่อยได้ เดินเซ ตากระตุก คลื่นไส้ คล้ายโรคหูชั้นในอักเสบ แต่รุนแรงกว่า และเป็นยาวนานกว่า
นอกจากนี้ก็มักจะมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย โดยอาจปวดข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียว บริเวณที่เกิดเนื้องอกนั่นเอง
โรคเนื้องอกในระบบประสาทหู
จะมีอาการคล้ายกับโรคหูชั้นในอักเสบทุกประการ แต่จะรู้ว่าเป็นโรคนี้ได้ก็ต่อเมื่อไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัย
เพราะฉะนั้นควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการป่วย จะได้ตรวจให้แน่ชัดว่าเป็นโรคอะไรกันแน่นั่นเอง
โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน
เป็นเหตุให้สมองเกิดการขาดเลือด ทำให้เกิดการวิงเวียนศีรษะ ทรงตัวไม่อยู่ แขนขาอ่อนแรง อย่างไรก็ตาม ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูจะได้มั่นใจว่า
คุณกำลังป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองตีบตันหรือหูชั้นในอักเสบกันแน่ หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ขึ้นเมื่อใด อย่าซื้อยามาทานเอง แล้วรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด
เพราะถ้าหากไม่ได้เป็นโรคหูชั้นในอักเสบ แต่เป็นโรคเนื้องอกในสมอง หรือหลอดเลือดในสมองตีบตัน อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
วิธีรักษาโรคหูชั้นในอักเสบ
อันที่จริงแล้ว ถึงแม้ว่าโรคหูชั้นในอักเสบ จะมีความรุนแรงถึงขั้นทำให้หูดับหรือสูญเสียการได้ยินอย่างถาวร
แต่ก็สามารถรักษาให้หายได้โดยใช้เวลาไม่นานมากนัก ซึ่งแพทย์จะเน้นการสั่งยาปฏิชีวนะ หรือยาฆ่าเชื้อเพื่อไปกำจัดเชื้อโรคต่าง ๆ
ที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคหูชั้นในอักเสบ พร้อมกันนี้ก็จะสั่งยาตามอาการ เช่น ยาลดน้ำมูก ยาลดการคลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ เป็นต้น
ผู้ป่วยควรทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ร่วมกับการดูแลตัวเองด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ค่อย ๆ ขยับตัวอย่างช้า ๆ
ในการเปลี่ยนท่า พยายามเดินให้คอตรง อย่าก้มหน้าหรือโน้มหน้าจนเกินไป ก็จะช่วยให้หายเป็นปกติได้เร็วยิ่งขึ้น
วิธีป้องกันโรคหูชั้นในอักเสบ
การป้องกันที่การเกิดโรคหูชั้นในอักเสบที่ดีที่สุด คือการดูแลตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ดูแลเรื่องสุขอนามัยให้สะอาด และหลีกเลี่ยงอบายมุขทุกชนิด
เมื่อเจ็บป่วยก็ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพียงเท่านี้ก็จะช่วยป้องกันการเกิดโรคหูชั้นในอักเสบ และโรคอื่น ๆ ได้แล้ว
Credit : sozcu.com.tr
โรคหูชั้นในอักเสบ เป็นโรคที่มีความรุนแรงก็จริง แต่ก็รักษาได้ง่าย เพียงแค่ทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเท่านั้น
ในช่วงที่ทำการรักษา พยายามอย่าให้น้ำเข้าหู และอย่าพึ่งเอาอะไรไปแหย่หูแม้จะคันแค่ไหนก็ตาม
เพราะถ้าเกิดการอักเสบที่รุนแรงมากกว่าเดิม การรักษาก็จะยากขึ้น อาจเป็นเหตุให้ต้องสูญเสียการได้ยินอย่างถาวรได้