โรคไฟโบรมัยอัลเจีย เป็นโรคที่แพทย์แทบทุกประเทศจากทั่วโลกได้ออกมายอมรับกันแล้วว่าโรคนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักและเข้าใจดีนัก
จึงไม่แปลกที่คนทั่วไปจึงไม่ค่อยรู้จัก ผู้ป่วยเองก็มักจะพลอยรู้ตัวช้า เนื่องจากลักษณะอาการที่คล้ายคลึงกับโรคอื่น เช่น โรคไมเกรน กล้ามเนื้ออักเสบ เป็นต้น
ซึ่งบทความนี้เราก็ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้มาให้ทุกคนได้ศึกษา เพื่อที่จะได้รู้จักโรคนี้ให้มากขึ้น ว่ามีลักษณะอาการที่แตกต่างจากโรคอื่นอย่างไรบ้าง
โรคไฟโบรมัยอัลเจีย คืออะไร?
โรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) คือ กลุ่มอาการที่มีการเจ็บปวดตามกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่ออ่อน และปวดเส้นเอ็นทั่วทั้งร่างกาย
โดยลักษณะสำคัญของอาการเจ็บปวดคือ จะเจ็บปวดรุนแรงมากกว่าปกติ เมื่อถูกกระตุ้นหรือถูกทำให้ปวด อย่างเช่น เกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ สิ่งแวดล้อม
ซึ่งในภาวะปกติจะไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ เกิดขึ้น โรคนี้มีโอกาสพบได้บ่อย ถึงประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด โดยมักพบบ่อยในวัยกลางคน และผู้สูงอายุ
สาเหตุของโรคไฟโบรมัยอัลเจีย
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้ ยังไม่สามารถที่จะสรุปให้ทราบได้อย่างแน่ชัด แต่อาจเกิดได้จากหลายปัจจัยมากระตุ้น เช่น มีสภาพจิตใจอ่อนแอ
เนื่องจากเคยผ่านเหตุการณ์ที่สะเทือนใจมา สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว และความเครียด ก็ล้วนแล้วแต่มีส่วนกระตุ้นให้เกิดโรคนี้ได้
เพราะผู้ป่วยบางรายจะมีอาการหลังจากได้รับการกระตุ้น แต่แพทย์โดยส่วนใหญ่ให้ความสนใจไปในเรื่องเซลล์สมองที่มีส่วนในการรับรู้ด้านความเจ็บปวดของผู้ป่วยเอง
น่าจะเกิดการทำงานมากกว่าปกติกล่าวคือ รับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดได้ไวกว่าปกติ ในขณะที่เซลล์สมองในส่วนผ่อนคลายความเจ็บปวดกลับทำงานน้อยหรือไม่ทำงานเลย
ผู้ที่เสี่ยงจะเป็นโรคไฟโบรมัยอัลเจีย
- ผู้หญิงที่อายุ 30-40 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีความเครียดสูง
- ผู้ที่มีปัญหาในเรื่องการนอนหลับ หรือหลับยาก
- มีปัญหาทางด้านจิตใจ หรือเคยผ่านเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจแบบรุนแรงมาก
อาการของโรคไฟโบรมัยอัลเจีย
อาการปวดที่พบมักจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย และมีอาการรุนแรงมากกว่าปกติ ลักษณะอาการที่สำคัญของโรคไฟโบรมัยอัลเจีย ได้แก่
- รู้สึกอ่อนเพลีย ปวดศีรษะช่วงเช้า แม้ว่าจะพักผ่อนเพียงพอ
- มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ ง่วงตอนกลางวัน
- มีอาการเหน็บชาตามร่างกาย
- มีอาการปวดเมื่อถูกสัมผัส
- กล้ามเนื้อมีอาการอ่อนแรง เป็นตะคริวง่าย
- มีความรู้สึกไวต่ออุณหภูมิทั้งร้อนและเย็น
- มีความไวต่อแสง หรือ เสียงดัง
- ปวดประจำเดือน อาการนี้พบในเพศหญิง
- ลำไส้เกิดอาการแปรปรวน เช่น ท้องเสียเรื้อรัง ปวดท้องเรื้อรัง
- มีปัญหาเรื่องการทรงตัวหรือการประสานงานของกล้ามเนื้อ
- มีปัญหาทางด้านอารมณ์ เช่น หงุดหงิดง่าย
การวินิจฉัยโรค
แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยพิจารณาจากการสอบถามอาการปวดของผู้ป่วย ร่วมกับการตรวจร่างกาย
ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดติดต่อกันมานานกว่า 3 เดือน วิธีการตรวจร่างกาย คือ แพทย์ต้องกดไปยัง 18 จุด
ซึ่งประกอบด้วย ด้านหน้า 8 จุด คือ ด้านขวาและด้านซ้ายของลำคอ หน้าอกส่วนบน เหนือหัวเข่า และเหนือข้อพับแขนด้านหลัง 10 จุด
คือ บริเวณด้านซ้ายและด้านขวาของคอ เหนือสะบัก ข้างละ 2 จุด ด้านล่างช่วงล่าง และโคนขา
โดยจะใช้ความแรงในการกดเพียงแค่ทำให้เล็บส่วนปลายนั้นซีดขาว ถ้ากดแล้วเจ็บมากกว่าหรือเท่ากับ 11 จุด
และกดแล้วเจ็บทั้ง 4 บริเวณ คือ ขวา ซ้าย เหนือและต่ำกว่าเอว และมีอาการเจ็บกล้ามเนื้อกลางลำตัว คือ บริเวณคอ หน้าอก
หลังส่วนบน และหลังส่วนล่างร่วมด้วย อาจหมายความผู้ป่วยเป็นโรคไฟโบรมัยอัลเจีย แต่อาจจะมีการส่งตรวจเลือด
และเอกซเรย์เพิ่มเติม หากลักษณะอาการมีความใกล้เคียงกับโรคอื่นๆ ด้วย ซึ่งการตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์
วิธีรักษาโรคไฟโบรมัยอัลเจีย
แพทย์จะรักษาโดยการให้ยาที่ออกฤทธิ์ในส่วนของเซลล์สมอง เพื่อแก้ปัญหาของเซลล์สมองรับความเจ็บปวดทำงานมากกว่าปกติ
โดยจะให้ควบคู่ไปกับยากลุ่มลดอาการซึมเศร้าและลดอารมณ์แปรปรวน นอกจากนี้ จะแนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกายควบคู่ไปกับการใช้ยา
เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ และลดช่วยลดอาการปวดลงได้ ซึ่งถือเป็นการทำกายภาพบำบัดไปในตัวด้วย
สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ พยายามหลีกเลี่ยงที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายและตึงเครียด
เพราะความเครียดเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้อาการกำเริบได้ โดยหากการรักษาได้ผล ผู้ป่วยก็จะมีอาการดีขึ้นภายใน 3 ปี
วิธีป้องกันโรคไฟโบรมัยอัลเจีย
ตามที่ทราบกันดีว่ายังไม่สามารถทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัดที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้ จึงยังไม่มีวิธีการป้องกันได้อย่างเต็มที่
สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ พยายามหลีกเลี่ยงที่จะต้องอยู่ในสังคมหรือสิ่งแวดล้อมที่ตึงเครียด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ซึ่งการทำสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่สามารถป้องกันโรคไฟโบรมัยอัลเจียอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถป้องกันการเกิดโรคอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกด้วย
Credit : lifecenterthailand.com
จากข้อมูลที่นำเสนอไป คงทำให้หลายๆ ท่านได้รับความรู้เกี่ยวกับ โรคไฟโบรมัยอัลเจีย มากขึ้นจากเดิม
ซึ่งถ้าหากคุณพบว่าร่างกายมีความผิดปกติตามข้อมูลดังกล่าว ไม่ควรสันนิษฐานเอาเอง หรือซื้อมายามากิน
ให้รีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษา เนื่องจากระยะเวลาที่ใช้ในการวินิจฉัยก็ค่อนข้างนาน อาจจะทำให้คุณได้รับการรักษาช้าขึ้น
ถึงแม้ว่าผลออกมาคุณจะไม่ได้เป็นโรคนี้ก็ตาม ซึ่งถ้าโรคอื่นก็จะได้รักษาได้อย่างทันท่วงทีด้วยเช่นกัน