ไรฝุ่น (ภาษาอังกฤษ – Dust Mite) เป็นแมลงขนาดเล็ก ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เพราะมีความยาวเพียง 250 – 300 ไมครอน เป็นสัตว์ขาข้อ ในกลุ่มเดียวกับเห็บหรือหิด มีขา 8 ขา แต่ไม่มีตา ตัวมีลักษณะกลมรี มีสีขาวขุ่น
ไรฝุ่น เมื่อโตเต็มวัย จะสามารถวางไข่ได้เร็วถึง 3 สัปดาห์ต่อครั้ง ครั้งละ 20 – 50 ฟอง โดยมีระยะฟักตัวอยู่ที่ 8 – 12 วัน และไรฝุ่นแต่ละตัว จะมีอายุยืนนานถึง 14 – 28 สัปดาห์เลยทีเดียว
เราสามารถพบไรฝุ่น ได้ทุกที่ภายในบ้าน เพราะมักจะปะปนอยู่กับฝุ่น โดยเฉพาะในอากาศ บนที่นอน หมอน และพรม
ไรฝุ่น จะกินเศษผิวหนังของมนุษย์ และรังแคเป็นอาหาร และเมื่อกินอาหารเข้าไปแล้ว ก็จะถ่ายมูลไว้ในสถานที่ ที่อาศัยอยู่
ซึ่งสามารถฟุ้งกระจายได้ง่าย และจะลอยเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของเรา ในขณะนอนหลับ
[wpsm_box type=”info” float=”none” text_align=”left”]
มีรายงานที่น่าตกใจ พบว่า ในฝุ่นบ้าน 1 กรัม จะพบไรฝุ่น ได้มากถึง 2,500 ตัว และบนที่นอน 1 หลัง จะมีไรฝุ่นอาศัยอยู่ มากกว่า 2 ล้านตัว เลยทีเดียว
นอกจากนี้ หมอนเก่าที่ใช้มานานกว่า 6 ปี จะมีไรฝุ่นและมูลของไรฝุ่นอยู่ถึง 1 ใน 10 ของน้ำหนัก ซึ่งถือเป็น ตัวการก่อโรคภูมิแพ้ที่สำคัญ
… รวมไปถึงโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โรคหืด โรคผื่นแพ้พันธุกรรม และโรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ด้วย
[/wpsm_box]
เนื่องจาก ไรฝุ่น สามารถแพร่พันธุ์ได้ดี ในที่อับชื้น ดังนั้น การกำจัดไรฝุ่น ด้วยการทำความสะอาดพื้นบ้าน โต๊ะ ตู้ที่มีฝุ่นจับ
โดยเฉพาะ การซักทำความสะอาด ปลอกหมอน ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน ควรซักด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 55-60 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที ทุก ๆ 1-2 สัปดาห์
และการนำที่นอน หมอน และพรมออกผึ่งแดดอยู่เสมอ ก็จะช่วยลดจำนวนของไรฝุ่นลงได้
ในรายที่เป็น โรคภูมิแพ้ ควรมีการติดเครื่องกรองอากาศ ภายในบ้าน เพื่อทำให้อากาศ มีความชื้นลดลง ซึ่งเป็นสภาวะที่ไรฝุ่นไม่ชอบ
รวมทั้ง ควรเปิดประตู หน้าต่าง ห้องนอน อย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง เพื่อช่วยระบายอากาศ และลดความชื้น ภายในห้องลง
หากเป็นไปได้ ก็ไม่ควรนำสัตว์เลี้ยงเข้าไปนอน ในห้องนอนด้วย เพราะรังแคจากสัตว์เลี้ยง จัดเป็นอาหารชั้นดีของไรฝุ่น
และไม่ควรปูพรม หรือใช้เฟอร์นิเจอร์ที่หุ้มด้วยผ้า และผ้าม่าน ในห้องนอน โดยเฉพาะ ตุ๊กตาที่มีขนนิ่ม ๆ เพราะจะทำให้เป็นแหล่งที่อยู่ของไรฝุ่น
นอกจากนี้ เวลาที่จะทำความสะอาดบ้านทุกครั้ง ก็ควรใช้ผ้าปิดปาก และจมูกให้มิดชิด และควรเลือกใช้น้ำยาทำความสะอาด บริเวณที่อับชื้น ที่มีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อราผสมอยู่ด้วย
ซึ่งวิธีการดังกล่าว เป็นวิธีการที่ไม่ยุ่งยาก หรือสลับซับซ้อนจนเกินไป แต่ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด สำหรับการป้องกันและกำจัดไรฝุ่น ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคภูมิแพ้ได้