เมื่อสาวๆ อายุมากขึ้นสีฟันที่เป็นฟันแท้ของเราจากเดิม ก็มักสะสมไปด้วยคราบจากกาแฟ ชา หรือบุหรี่
ที่ไม่สามารถกำจัดออกได้ด้วยการแปรงฟันธรรมดา เมื่อนานวันเข้าก็ทำให้สีฟันเปลี่ยนสภาพเป็นสีเหลือง น้ำตาล หรือเป็นคราบไม่สวยงาม จนไม่กล้ายิ้ม
ทางเลือกของการฟอกสีฟันจึงเกิดขึ้น ซึ่งเป็นตัวช่วยกำจัดปัญหาข้างต้นที่กล่าวมา
ให้ฟันกลับมาเงาและขาวมากขึ้น ซึ่งช่วยให้สาวๆ กลับมามีความมั่นใจ มีรอยยิ้มที่สดใสได้อีกครั้ง
ทว่าในการฟอกฟันไม่ได้มีแต่ข้อดีเพียงอย่างเดียว เพราะการฟอกฟันมีสิ่งที่ต้องระมัดระวัง มีหลายวิธีให้เลือกใช้
ไม่ว่าจะเป็นการฟอกสีฟันจากภายในตัวฟัน หรือเป็นการฟอกเพียงแค่ด้านนอกเพียงอย่างเดียว
โดยจะมีใช้สารเคมีพื้นฐานคือ “ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์” เป็นตัวทำปฏิกิริยา อีกทั้งยังมีวิธีการฟอกสีฟันที่แตกต่างกัน
ดังนั้นก่อนทำการฟอกควรศึกษาข้อมูลให้ดี เพราะบางกลุ่มก็ไม่สามารถฟอกสีฟันได้ด้วยเหตุผลบางประการ
ซึ่งหากไม่ทันระวังอาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพของสาวๆ ตามมาได้นั่นเองค่ะ
ประเภทของการฟอกฟันที่สาวๆ ควรรู้
วิธีการฟอกสีฟันมีเทคนิคที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปจะแบ่งวิธีหลักๆ ออกเป็น 5 วิธีด้วยกัน ดังนี้
1.In-office Power Bleaching
การฟอกสีฟันวิธีนี้จะทำกับทันตแพทย์ที่มีความรู้ในคลินิก โดยมีการใช้สารฟอกสีฟันความเข้มข้นสูงร่วมกับเครื่องมือต่างๆ
เพื่อกระตุ้นให้การฟอกสีฟันเกิดปฏิกิริยารวดเร็วขึ้น เช่น การใช้เลเซอร์ การใช้เครื่องฉายแสง เป็นต้น
ข้อดีของวิธีนี้คือ มีความสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องนำกลับไปทำเองที่บ้านให้ยุ่งยาก เพียงครั้งเดียวก็สามารถฟอกสีฟันได้เสร็จเรียบร้อย
แต่ข้อเสียคือ อาจทำให้เกิดอาการเสียวฟันตามมา เนื่องจากปริมาณความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้ คนที่มีปัญหาฟันบางจึงไม่ควรเลือกใช้วิธีนี้
2.At-home Bleaching
การฟอกสีฟันด้วยตัวเองที่บ้าน แต่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของทันตแพทย์ เริ่มต้นจากการพิมพ์ปากสำหรับเตรียมถาดฟอกสีฟัน
จากนั้นก็จะจ่ายน้ำยาฟอกสีฟันเอาไปกลับใส่ในช่วงเวลานอน โดยสารที่ใช้จะมีความเข้มข้นต่ำ
จึงใช้เวลาในการฟอกนาน มีผลต่อความเสียวฟันน้อยกว่าแบบแรก มีราคาถูก แต่ข้อเสียคือระยะเวลาในการฟอก
อีกทั้งมือใหม่ยังรู้สึกว่าเป็นความยุ่งยาก ซึ่งต้องใช้เวลานานตั้งแต่ 1 อาทิตย์ หรือบางคนก็นานเป็นเดือน
โดยการใส่ถาดฟอกสีฟันในช่วงเวลานอน จนทำให้รู้สึกรำคาญ ไม่ชินปาก
3.In-office assisted Bleaching
การฟอกสีฟันที่นำเอาวิธีการระหว่าง In-office Power Bleaching และ At-home Bleaching มาทำร่วมกัน
เริ่มต้นจะทำการฟอกสีฟันที่คลินิกด้วยสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในปริมาณเข้มข้นสูง ซึ่งช่วยให้ฟันมีสีขาวขึ้นมาในระดับหนึ่งก่อน
จากนั้นก็จะให้นำเอาอุปกรณ์กลับไปทำต่อเองที่บ้าน โดยยังขึ้นอยู่กับการดูแลของทันตแพทย์อยู่
โดยจะใช้สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้นต่ำ จะใช้ระยะเวลาสั้นกว่าการทำเองที่บ้าน
แต่ก็ยังต้องมีการใส่ถาดฟอกสีฟันในช่วงเวลานอนเอาไว้เหมือนเดิม
4.Over-the-counter Bleaching
การฟอกสีฟันที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของทันตแพทย์ สามารถตัดสินใจทำได้เอง
ด้วยการหาซื้ออุปกรณ์และตัวยาได้ตามร้านค้าที่มีผลิตภัณฑ์ทั่วไป โดยจะยังคงใช้สารตั้งต้นเป็นไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้นต่ำ
มีตั้งแต่การนำเอามาผสมเป็นยาสีฟันสำหรับฟอกสีฟัน เป็นชุดฟอกสีฟัน และแถบฟอกสีฟัน ให้เลือกตามความพึงพอใจ
แต่กรณีที่ใช้ถาดฟอกสีฟัน มักจะมีข้อเสียตรงที่ถาดไม่เข้ากับรูปฟันของเราเท่าใดนัก ส่งผลให้น้ำยามีโอกาสไกลออกมานอกถาด
เกิดอาการระคายเคืองบริเวณเนื้อเยื่ออ่อน และมีโอกาสที่จะกลืนเอาสารฟอกสีฟันเหล่านี้เข้าไปได้มากอีกด้วย
5.Internal Bleaching
การฟอกสีฟันสำหรับฟันตาย ซึ่งฟันเหล่านี้จะเปลี่ยนสีกลายเป็นสีคล้ำ การฟอกจึงทำเฉพาะซี่ที่มีปัญหา
มักทำในกลุ่มฟันที่รากฟันได้รับอุบัติเหตุจนตาย ทันตแพทย์จะให้ผู้เข้ารับการทำใส่สารฟอกสีฟันเข้าไปภายในตัวฟันโดยตรง
ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนให้ฟันมีสีขาวขึ้น จากนั้นจะอุดช่องทางเข้าเอาไว้ชั่วคราว เพื่อให้น้ำยาทำงานฟอกสีฟันให้ขาวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยจะมีการนัดเพื่อมาตรวจดูสีฟันที่เปลี่ยนแปลง จะทำการเปลี่ยนน้ำยาฟอกสีฟันเรื่อยๆ
จนกว่าจะได้สีฟันที่พอใจ เมื่อได้สีที่ถูกใจแล้ว ทันตแพทย์ก็จะปิดช่องทางเข้าแบบถาวร
Photo Credit : dentistryplus.com.au
สาวๆ คนไหนที่กำลังตัดสินใจทำการฟอกสีฟัน ก็อย่าเพิ่งคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องง่ายๆ เปลี่ยนฟันสีคล้ำให้ขาวขึ้นได้ทันใจ
เพราะกว่าจะได้สีฟันที่เหมาะสมมา จะต้องมีการศึกษาข้อมูลให้ดี เนื่องจากน้ำยาที่ใช้มีอันตรายต่อเนื้อเยื่อในช่องปาก
ทางที่ดีก็ควรปรึกษาทันตแพทย์ที่เชี่ยวชาญ เพื่อขอคำแนะนำก่อนตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะสม จะได้ปลอดภัยต่อและคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่าย