รู้ทัน ! โรคลำไส้แปรปรวน IBS ภาวะเรื้อรัง ตัวการทำลายสุขภาพระยะยาว

โรคลําไส้แปรปรวน รักษา

โรคลำไส้แปรปรวน ที่เรียกกันว่า IBS ย่อมาจาก  Irritable Bowel Syndrome  อาจจะเป็นโรคที่ผู้คนไม่ค่อยให้ความสนใจ

หรือไม่ค่อยทราบแน่ชัดว่าตัวเองป่วยเป็นโรคนี้ เพราะอาการโดยมากที่เกิดขึ้นเป็นอาการทั่วๆ ไปที่พบได้

แต่จะเกิดขึ้นแบบเป็นๆ หายๆ อาการไม่รุนแรง ไม่ส่งผลให้เกิดอันตรายถึงชีวิต ทว่ามันกลับเป็นโรคที่คุกคามสาวๆ

ทำให้คุณภาพชีวิตย่ำแย่ลง ภาวะเหล่านี้จะคุกคามการทำงานของำไส้ ได้ตั้งแต่อาการอึดอัดเหมือนมีลมในท้อง

ปวดอุจจาระเปลี่ยนไปจากเดิม และอาจตามมาด้วยอาการท้องเสียและท้องผูกได้

สาวๆ ที่มีอาการเกิดขึ้น แต่ไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดได้ว่าเกิดจากอะไร อาจมีส่วนมาจากโรคลำไส้แปรปรวนก็เป็นได้ค่ะ

ลักษณะอาการของโรคลำไส้แปรปรวน

ลักษณะอาการของโรคลำไส้แปรปรวน จะเกิดขึ้นแบบเรื้อรัง มีอาการปวดท้องน้อย ท้องผูก หรือท้องเสีย ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ

แม้จะทานยาเข้าไปก็ช่วยบรรเทาได้เพียงสั้นๆ ไม่สามารถทำให้หายขาดได้ กลายเป็นอุปสรรในการดำเนินชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก

โรคนี้มีต้นตอมาจากความผิดปกติของลำไส้ ไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพหรืออาจมาจากโรคอื่นๆ เป็นอาการทางอ้อม

เช่น มีก้อนเนื้องอกในลำไส้ มะเร็งลำไส้ ภาวะอักเสบ เป็นต้น โดยอาการที่เกิดขึ้นจะระบุได้ว่าเป็นโรคลำไส้แปรปรวนหรือไม่นั้น

จะจัดแบ่งกลุ่มออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกันคือ กลุ่มที่มีอาการท้องเสีย กลุ่มที่มีอาการท้องผูก และกลุ่มที่มีอาการท้องผูกสลับกับท้องเสีย

ติดต่อกันนานกว่า 6 เดือนขึ้นไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเข้ามารับการตรวจจากแพทย์ต่อเมื่อเกิดอาการแน่นท้อง ปวดท้อง

ซึ่งจะปวดบริเวณท้องน้อยด้านซ้ายหรือขวา ร่วมกับ อาการท้องเสีย หรือ ท้องผูก

บางรายอาจมีภาวะขับถ่ายผิดปกติ ติดต่อกันหลายวัน ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกทรมานจนต้องมาพบแพทย์ในที่สุด

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นโรคที่ไม่รุนแรง แต่หากการถ่ายอุจจาระออกมามีเลือดหรือมูกปน มีสีผิดปกติ น้ำหนักลด

อาเจียน ซีด อุจจาระขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ปวดเบ่งอย่างรุนแรงเหมือนกับอุจจาระไม่สุด เหล่านี้

อาจจะกลายเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายกำลังฟ้องถึงภาวะอันตรายภายในระบบขับถ่ายก็เป็นได้

สาเหตุของการเกิดโรคลำไส้แปรปรวน

โรคนี้จัดได้ว่า เป็นโรคที่พบได้บ่อยมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั่วประเทศ ซึ่งสาเหตุที่เป็นตัวการ

แพทย์ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใดบ้าง แต่เชื่อว่ามีกลไกอันเกี่ยวเนื่องกับระบบทางเดินอาหาร

และระบบขับถ่ายที่ทำงานไม่ปกติ ไปจนถึงประสาทรับรู้ในทางเดินอาหารไวเกินไป ทำให้เกิดความแปรปรวนขึ้นมา

นอกจากนี้ยังสันนิษฐานว่า เกิดขึ้นจากความผิดปกติของลำไส้ใหญ่ที่บีบตัวผิดจังหวะ ลำไส้เกร็งตัว (spastic colon)

ทำให้เกิดการบีบตัวอย่างรุนแรง ตามมาอาการปวดเกร็งจนเป็นตะคริว และส่วนมากของผู้ป่วยที่พบมักจะมีอาการทางจิตเวชเข้ามาเกี่ยวข้อง

ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ความวิตกกังวล โรคซึมเศร้า ส่งผลให้ลำไส้ไวต่อความรู้สึกมากกว่าปกติ

ขั้นตอนในการรักษาโรค IBS

เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แพทย์จึงจำเป็นต้องทำการวินิจฉัยโรคอย่างละเอียด

เนื่องจากมีอาการของโรคอื่นๆ เป็นจำนวนมากที่คล้ายกับโรคนี้ เช่น โรคภูมิแพ้ลำไส้ ภาวะย่อยอาหารผิดปกติ

และโรคลำไส้อักเสบ เป็นต้น เบื้องต้นแพทย์จะทำการซักประวัติและตรวจร่างกาย

โดยจะวิเคราะห์จากลักษณะอาการ ระยะเวลาที่โรคดำเนินมาจนถึงปัจจุบันว่า นานแค่ไหน พฤติกรรมการกินอาหาร

มีการตรวจภายในเพื่อหาความผิดปกติ และอาจจะมีการตรวจพิเศษ เช่น การเจาะเลือด

เก็บอุจจาระและปัสสาวะเพื่อทำการเพาะเชื้อ หรือตรวจลำไส้ด้วยการส่องกล้อง เพื่อทำการแยกโรคร้ายแรงชนิดอื่น

หากพบว่า เกิดขึ้นจากโรคลำไส้แปรปรวน แพทย์จะทำการรักษาตามอาการ เนื่องจากมียาหลายชนิดที่ช่วยบรรเทา

และเข้าไปรักษาความผิดปกติต่างๆ โดยจะมีกรใช้ยาหลายชนิดทำการรักษาร่วมกัน

ผู้ป่วยที่ได้รับยาอาจจะแตกต่างกันออกไปตามการตอบสนองของร่างกาย มีการติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิดในระยะแรก

ผู้ป่วยจะต้องให้ความร่วมมือกับแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการบอกถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต

อาหารที่กินในแต่ละวัน นิสัยความเป็นอยู่ และอาการที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ทำการรักษา นอกจากการใช้ยาแล้ว

ผู้ป่วยจำเป็นต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ตามคำแนะนำของแพทย์ เน้นผักและผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง

อาหารที่ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงความเครียดและความวิตกกังวล หากมีโรคทางจิตเวชด้วย

จะต้องทำการรักษาไปพร้อมๆ กัน ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาหายเป็นปกติได้

จะเห็นได้ว่าโรคลำไส้แปรปรวน เป็นโรคที่พบได้ง่าย และมักเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว

ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด สาวๆ อาจจะปล่อยปละละเลย คิดว่าเป็นอาการธรรมดาทั่วไป

โรคลําไส้แปรปรวน pantip

Photo Credit : fixyourdigestion.com

ทางที่ดีควรสังเกตตัวเองก่อนว่าอาการปวดท้อง แน่นท้อง หรือท้องเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น

แม้จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วก็ยังไม่หาย ใช้ยาแล้วก็กลับมาเป็นอีก ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์

เพื่อจะได้ช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง และช่วยป้องกันการเกิดโรคร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาได้อีกด้วยค่ะ