โรคมะเร็งเยื่อเมือกเมลาโนมา นับเป็นโรคมะเร็งที่เกือบทุกคนต้องไม่รู้จักอย่างแน่นอน เพราะโดนส่วนมากแล้ว
มะเร็งมักจะเกิดกับอวัยวะต่าง ๆ โดยตรง และสามารถเข้าใจได้ทันทีเมื่อพูดถึง เช่น มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้
หรือมะเร็งเต้านม เป็นต้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนจะไม่รู้ตัวเองว่ามีอาการของโรคมะเร็งชนิดนี้อยู่
ดังนั้น เราจึงขอแนะนำให้รู้จักกับโรคมะเร็งเยื่อเมือกเมลาโนมา เพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจและนำไปใช้ป้องกันการเกิดโรคเบื้องต้นได้
โรคมะเร็งเยื่อเมือกเมลาโนมา คืออะไร?
โรคมะเร็งเยื่อเมือกเมลาโนมา (Mucosal Melanoma) เป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นกับ “เยื่อบุ”
ที่อยู่บริเวณต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นในช่องปาก ระบบทางเดินหายใจ รวมไปถึงอวัยวะเพศ
โดยเยื่อบุ หรือเยื่อเมือกต่าง ๆ เหล่านี้จะประกอบขึ้นจากเซลล์สร้างเม็ดสีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “เมลาโนไซต์”
(เมลาโทนิน ที่สร้างเซลล์สีดำอย่างเส้นผม เส้นขนต่าง ๆ ก็รวมอยู่ในเมลาโนไซต์) ถ้าหากเกิดความผิดปกติขึ้น
เซลล์นี้ก็จะพัฒนาตัวเองให้กลายเป็นเนื้อร้ายมะเร็ง เพราะฉะนั้น มะเร็งชนิดนี้จึงได้ชื่อตามเซลล์ที่ทำให้เกิดโรคขึ้นมา
โรคมะเร็งเยื่อเมือกเมลาโนมา เป็นโรคที่มีความรุนแรงสูงกว่ากลุ่มโรคมะเร็งประเภทเดียวกันอย่างมะเร็งลูกตา
และมะเร็งผิวหนังเป็นอย่างมาก มักพบในวัยผู้ใหญ่มากกว่า 30 ปี และพบได้บ่อยในผู้หญิง ถึงแม้ว่าที่ผ่านมา
จะยังไม่พบผู้ป่วยโรคมะเร็งชนิดนี้ในประเทศไทย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าในอนาคตจะไม่มีการเกิดขึ้น
สำหรับอวัยวะที่มักจะเกิดโรคมะเร็งเยื่อเมือกเมลาโนมามากที่สุด คือ บริเวณทางเดินหายใจ
เช่น ไซนัส โพรงจมูก หรือช่องปาก เป็นต้น ส่วนอันดับสองที่พบรองลงมา คือ บริเวณปลายลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
สาเหตุของโรคมะเร็งเยื่อเมือกเมลาโนมา
ด้วยความที่โรคมะเร็งเกือบทุกชนิดนั้น ยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้ ทำได้เพียงแค่พยากรณ์หรือคาดการณ์ว่าน่าจะเกิดขึ้นจากอะไรเท่านั้น
โรคมะเร็งเยื่อเมือกเมลาโนมาเองก็เช่นกันที่ยังไม่สามารถหาสาเหตุเจอว่าเกิดจากอะไร เพียงแต่พบได้บ่อยในชาวญี่ปุ่นเป็นพิเศษ
คิดเป็น 30% ของโรคมะเร็งทั้งหมดที่สามารถพบได้ในชาวญี่ปุ่น ซึ่งก็คาดกันว่าน่าจะเกิดจากความผิดปกติของยีนบางตัว
อาการของโรคมะเร็งเยื่อเมือกเมลาโนมา
สำหรับอาการของโรคมะเร็งเยื่อเมือกเมลาโนมา ค่อนข้างจะดูได้ยากพอสมควร เนื่องจากเกิดขึ้นกับเยื่อบุภายในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
เพราะฉะนั้น ในระยะแรก ๆ ก็อาจจะไม่พบการแสดงอาการใด ๆ ทั้งสิ้น จนกว่าเนื้อร้ายจะเริ่มมีการเติบโตขึ้น
และจะเริ่มส่งผลให้อวัยวะชนิดนั้น ๆ เริ่มทำงานผิดปกติไปจากเดิม และนี่คืออาการหลัก ๆ ของผู้ป่วยโรคมะเร็งชนิดนี้ที่สามารถพบได้ทั่วไป
- มีเลือดไหลออกมาปนกับน้ำมูกแบบเรื้อรัง ถ้าหากว่าเกิดมะเร็งชนิดนี้ในโพรงจมูกหรือในไซนัส
- มีเลือดออกที่เพดานปาก พร้อมกับมีอาการเจ็บหรือมีแผลแตกเรื้อรัง หากว่าเกิดโรคมะเร็งชนิดนี้ในช่องปาก
- พบการถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ร่วมกบมีอาการท้องผูกเรื้อรัง หากเกิดโรคมะเร็งชนิดนี้ในลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
- มีเลือดออกทางช่องคลอด (ที่ไม่ใช่ประจำเดือน) ผิดปกติ หรือตกขาวเปลี่ยนสีและมีกลิ่นอย่างรุนแรง หากเกิดโรคมะเร็งชนิดนี้ในอวัยวะเพศ
การวินิจฉัยโรค
สำหรับการวินิจฉัยโรคมะเร็งเยื่อเมือกเมลาโนมาของแพทย์นั้น ก็เหมือนกับการวินิจฉัยโรคมะเร็งทั่ว ๆ ไป คือ จะต้องตัดชิ้นเนื้อ
มาตรวจสอบดูว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ ถ้าหากว่าใช่ แพทย์ก็จะทำการประเมินอาการของโรค และหาแนวทางในการรักษาต่อไป
วิธีรักษาโรคมะเร็งเยื่อเมือกเมลาโนมา
สำหรับการรักษาโรคมะเร็งเยื่อเมือกเมลาโนมา แพทย์จะต้องวินิจฉัยก่อนว่า อาการอยู่ในระดับใด แต่ต้องอธิบายไว้ในที่นี่เลยว่า
มะเร็งชนิดนี้ค่อนข้างจะมีความรุนแรงมาก จึงไม่มีการนับระยะที่ 1 และ 2 ข้ามไประยะที่ 3 และ 4 เลย หากยังอยู่ในระยะที่ 3
แพทย์อาจจะพิจารณาทำการรักษาด้วยการผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก พร้อมกับรักษาด้วยเคมีบำบัด หรือฉายรังสี
เพื่อกำจัดเนื้อร้ายให้หมดไป แต่ถ้าหากเข้าสู่ระยะที่ 4 แล้ว แพทย์อาจจะทำได้เพียงแค่ควบคุม
ไม่ให้เนื้อร้ายแพร่กระจายเข้าสู่กระแสโลหิต ซึ่งจะทำให้เกิดมะเร็งในอวัยวะอื่น ๆ ต่อไป ซึ่งก็อาจจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเร็วขึ้น
วิธีป้องกันโรคมะเร็งเยื่อเมือกเมลาโนมา
ด้วยความที่ยังหาสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งชนิดนี้ไม่ได้ และยังไม่เคยพบผู้ป่วยในประเทศไทย การป้องกันจึงสามารถทำได้ยาก
เพราะฉะนั้นเราจึงควรรักษาสุขภาพของตัวเองให้ดีอยู่เสมอ ตั้งแต่การพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์
และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานในร่างกายให้แข็งแรงได้ ถ้าหากพบความผิดปกติใด ๆ ขึ้นกับร่างกาย
ก็ควรรีบไปพบแพทย์ทันที และที่สำคัญควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อหาความผิดปกติของร่างกายประจำปีร่วมด้วยก็จะดีที่สุด
เพราะหากตรวจพบเจอโรคเร็วก็ย่อมสามารถรักษาให้หายได้เร็วขึ้นนั่นเอง
Credit : larepublica.net
โรคมะเร็งเยื่อเมือกเมลาโนมา เป็นโรคมะเร็งที่มีความรุนแรงและอันตรายเป็นอย่างมาก ยังไม่สามารถคัดกรองการเกิดโรคได้
และยังไม่สามารถป้องกันใด ๆ ได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจึงควรดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี ๆ และรีบมาปรึกษาแพทย์ทันที
เมื่อรู้สึกว่าร่างกายมีการทำงานผิดปกติ เพราะถ้าหากเกิดขึ้นจริง ๆ ก็จะได้หาแนวทางในการรักษาให้เหมาะสมต่อไป