โรคเสียงดังในหู เป็นโรคที่หลายคนไม่คุ้นเคยกันนัก เพราะโดยปกติแล้วคนเราไม่ควรจะมีเสียงดังในหู
แต่หากได้ยินเสียงลมในหูหรือได้ยินเสียงที่เหมือนกับจักจั่น เรไร จิ้งหรีด ทั้งที่ไม่มีเสียงนั้นจริง ๆ จากภายนอก
นั่นเป็นสัญญาณที่แสดงว่า เรากำลังป่วยเป็น โรคเสียงดังในหู นั่นเอง แต่อาการจะเกิดขึ้นจากอะไร
และจะต้องทำการรักษาอย่างไรบ้าง เรามาทำความรู้จักกับโรคเสียงดังในหูกันเลยดีกว่าค่ะ
โรคเสียงดังในหู คืออะไร?
โรคเสียงดังในหู (tinnitus) คือ โรคที่ผู้ป่วยมักจะมีอาการเสียงดังในหู โดยส่วนมากแล้วจะได้ยินเสียงคล้ายกับเสียงของจักจั่น
หรือเสียงจิ้งหรีดร้องภายในหู และอาจได้ยินเป็นเสียงซ่า ๆ หึ่ง ๆ วิ๊ง ๆ หรือลักษณะคล้ายเป็นเสียงลมดังในหู
ซึ่งอาจเกิดขึ้นข้างใดข้างหนึ่งหรือเกิดขึ้นได้ทั้งสองข้าง บางครั้งก็เป็น ๆ หาย ๆ หรือบางครั้งก็ดังตลอดเวลา
มักจะได้ยินเสียงอย่างชัดเจนในขณะที่อยู่ที่เงียบๆ หรือ ในเวลากลางคืน และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีอาการหูอื้อ ปวดหู บ้านหมุนและเวียนศีรษะ
โรคเสียงดังในหู มี 2 ประเภท
1.เสียงดังในหูประเภทได้ยินเฉพาะผู้ป่วย หรือเสียงที่มีการรับรู้ผิดปกติ โดยที่ไม่ได้มีเสียงเกิดขึ้นจริง เช่น ได้ยินเสียงลม
เสียงพรึบพรับ เสียงจิ้งหรีดร้อง หรือเสียงหึ่ง ๆ อื้อ ๆ เป็นประเภทเสียงดังในหูที่พบบ่อยมากที่สุด มีสาเหตุเกิดมาจาก
– หูชั้นนอก เช่น เนื้องอกของหูชั้นนอก หูชั้นนอกอักเสบ เยื่อแก้วหูทะลุ และขี้หูอุดตัน
– หูชั้นกลาง เช่น โรคหินปูนในหูชั้นกลาง หูชั้นกลางอักเสบ และน้ำขังอยู่ในหูชั้นกลาง
จากท่อยูสเตเชี่ยน (ท่อที่เชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกลางกับโพรงหลังจมูก) ทำงานผิดปกติ
– หูชั้นใน เช่น น้ำในหูไม่เท่ากัน เกิดการติดเชื้อของหูชั้นใน การเสื่อมของเส้นประสาทหู ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการได้รับเสียงที่ดังมาก
ในระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้เส้นประสาหูเสื่อมเฉียบพลัน และพบได้บ่อยสุดคือ ประสาทหูเสื่อมจากอายุ
– สมอง เช่น โรคของเส้นเลือดอย่าง เนื้องอกในสมอง เลือดออกในสมอง และเส้นเลือดในสมองตีบ
– สาเหตุอื่นๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคไต โรคเบาหวาน โรคโลหิตจาง และโรคแพ้ภูมิตัวเอง
2.เสียงดังในหูประเภทบุคคลภายนอกได้ยินด้วย หรือเสียงที่มีแหล่งกำเนิดเสียงจริงอยู่ภายในร่างกายของผู้ที่ได้ยิน
มักจะได้ยินเป็นเสียง ตุ้บ ๆ หรือ ฟู่ ๆ ตามชีพจร ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือด เช่น
– หลอดเลือดแดงมีการเชื่อมต่อที่ผิดปกติกับหลอดเลือดดำ
– เส้นเลือดวางอยู่ในตำแหน่งที่ผิดปกติ
– เส้นเลือดแดงโป่งพอง
การรักษาอาการเสียงดังในหู
ในการรักษาจะเป็นการรักษาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดเสียงรบกวน เช่น การทำความสะอาดเพื่อเอาขี้หูออก
การให้ยาเพิ่มเลือดไปเลี้ยงหูชั้นใน การให้ยารักษาอาการบวมของท่อปรับความดันหู หรือการให้ยาเพื่อรักษาอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน
การใช้สเตียรอยด์ ใบแปะก๊วย หรือยาเพิ่มเลือดไปเลี้ยงหูชั้นในชนิดอื่น อาทิ เบต้าฮีสทีน ซึ่งจะช่วยลดเสียงรบกวนได้ประมาณ 60%
แต่หากมีเสียงดังในหู จนก่อให้เกิดความรำคาญหรือส่งผลต่อการนอนหลับ ก็อาจจะใช้เสียงอื่นเพื่อกลบเสียง
เช่น เปิดเพลงเบา ๆ ก็จะให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นมาก และบางสาเหตุต้องอาศัยการรักษาด้วยการผ่าตัด เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนกระดูกโกลน
เพื่อรักษาภาวะหินปูนเกาะที่ฐานกระดูกโกลนในหูชั้นกลาง การใส่ท่อระบายน้ำที่ขังในหูชั้นกลาง และการรักษาเสียงตุ้บ
ที่ดังตามชีพจรกับเสียงฟู่ จะต้องได้รับการวินิจฉัยเพิ่มเติมด้วยการตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อที่จะรักษาต่อตามสาเหตุที่พบ
ซึ่งอาการเสียงดังในหูบางประเภทจะค่อย ๆ เกิดขึ้นโดยไม่รบกวนผู้ป่วยมากนัก แต่การได้ยินจะลดลงเรื่อย ๆ
พร้อมทั้งมีอาการเดินเซ มักเกิดมาจากก้านสมองขาดเลือดไปเลี้ยงหรือเนื้องอกของเส้นประสาทคู่ที่ 8
โดยจะต้องทำการ MRI เพื่อวินิจฉัย และทำการรักษาด้วยการผ่าตัดหรือแกมม่าไนฟ์ต่อไป
การดูแลป้องกันสำหรับอาการเสียงดังในหู ที่เกิดจากประสาทหูเสื่อม
แต่หากอาการเสียงดังในหูเกิดจากประสาทหูเสื่อม ก็ต้องป้องกันไม่ให้ประสาทหูเสื่อมมากขึ้น
ด้วยการหลีกเลี่ยงไปยังสถานที่ที่มีเสียงดัง หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหู หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุหรือการกระเทือนบริเวณใบหู
ลดความเครียดความวิตกกังวล โดยเฉพาะเกี่ยวกับอาการเสียงดังในหู เพราะหากยิ่งกังวลจะทำให้เสียงดังมากขึ้น
หลีกเลี่ยงการติดเชื้อของหู หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน และหากเป็นโรคไต โรคเลือด โรคซีด
โรคกรดยูริกในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง ควรควบคุมโรคให้ดี
นอกจากนี้ ควรออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ นอนให้พอ ลดอาหารเค็ม หรือเครื่องดื่มบางประเภทที่มีสารกระตุ้นประสาท
อาทิ กาแฟ ชา เครื่องดื่มน้ำอัดลม (มีสารเคเฟอีน) และงดการสูบบุหรี่ (สารนิโคติน)
วิธีลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเสียงดังในหู
เพื่อไม่ให้ต้องเสี่ยงป่วยเป็นโรคเสียงดังในหู เราควรจะต้องดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เช่น เมื่อต้องอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดัง
ควรใช้เครื่องป้องกัน เช่น แผ่นครอบปิดหูหรือจุกอุดหู ระวังอุบัติเหตุที่ศีรษะ เช่น ขับรถอย่างปลอดภัย คาดเข็มขัดนิรภัย
สวมหมวกกันน๊อก และไม่ฟังเสียงที่ดังเกินไป เช่น เสียงเพลงหรือเสียงทีวี รวมถึงควรจะต้องดูแลระบบไหลเวียนเลือดกับสุขภาพหัวใจ
เช่น ระวังน้ำหนักเกิน นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายประจำ และป้องกันตัวเองไม่ให้ป่วยเป็นโรคต่าง ๆ
โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง และโรคความดันเลือดสูง นอกจากนี้ พฤติกรรมเล็กๆ อย่างการสั่งน้ำมูกแรงๆ
ก็อาจทำให้ประสาทหูฉีกขาดได้เช่นเดียวกัน จึงควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนกับหูจะดีที่สุด
Credit : sante.toutcomment.com
ได้ทำความรู้จักกันไปเรียบร้อยแล้วนะคะ สำหรับ โรคเสียงดังในหู โรคที่แม้ว่าจะไม่ได้ร้ายแรงจนก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต
แต่ก็ถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำลายความสงบสุขของการใช้ชีวิตได้ เพราะเสียงที่ดังในหูอยู่ตลอดเวลา ย่อมสร้างความรบกวนให้แก่ผู้ป่วยได้เป็นอย่างมาก
ดังนั้น เมื่อพบความผิดปกติจึงควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีที่สุด และดูแลสุขภาพตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยก่อให้เกิดโรคเสียงดังในหูไปพร้อมกันด้วยจะดีมาก