นอกจากปัญหาสิวบนผิวหน้าที่สร้างความกังวลใจให้กับสาวๆ ที่รักสวยรักงามแล้ว
ยังมีปัญหาฝ้าและกระ ที่กลายเป็นตัวการทำให้สาวๆ หมดความมั่นใจกันมานักต่อนัก
เพราะเมื่อรอยด่างดำเหล่านี้ปรากฏขึ้นมา กลายเป็นตำหนิที่เริ่มจากบางๆ เมื่อทำการรักษาไม่ถูกวิธีหรือปล่อยทิ้งไว้
ก็จะทำให้สีของมันเข้มมากขึ้น การมองหาวิธีรักษาฝ้าให้หายขาด สิ่งสำคัญคือการรู้จักต้นตอที่ทำให้เกิดเสียก่อน
จากนั้นก็ควรทำการรักษาให้ตรงจุด ด้วยวิธีการที่ปลอดภัย ซึ่งสาวๆ ที่กำลังเผชิญปัญหานี้
ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ก็ควรมาทำความเข้าใจกับรอยด่างดำเหล่านี้กันให้มากขึ้น จะได้หาแนวทางแก้ไขได้อย่างตรงจุดมากที่สุดนั่นเองค่ะ
ลักษณะของฝ้าที่เกิดขึ้นบนผิวหน้า
ฝ้า (Melasma) เป็นลักษณะที่เกิดขึ้นบนผิว คือเม็ดสีเมลานินที่มาจากการถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยแวดล้อมต่างๆ
ทั้งภายนอกและภายในร่างกาย มองเห็นได้ทั้งแบบจางๆ และสีเข้มชัดเจน มักเป็นสีน้ำตาลอมแดง
ขนาดต่างกันออกไป จะขึ้นอยู่บนผิวเป็นหย่อมๆ หรือกระจายตัวไปเรื่อยๆ จนมีขนาดใหญ่
บริเวณที่พบฝ้าได้มากที่สุดคือ สันจมูก, โหนกแก้ม และหน้าผาก สาวๆ ที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป
มีโอกาสเสี่ยงทำให้เกิดฝ้าที่ผิวหนังได้ง่ายกว่าในวัยเด็ก โดยเฉพาะคนที่ต้องเผชิญกับแดดแรงๆ อยู่เป็นประจำ
และเป็นเวลานานซ้ำๆ กัน จะทำให้เม็ดสีถูกกระตุ้นขึ้นมา หากปล่อยทิ้งเอาไว้นานจะทำการดูแลรักษาได้ยาก
การที่ผิวหน้าจะกลับมาเนียนใสเหมือนเดิม ก็เป็นเรื่องที่สาวๆ อาจจะต้องทำใจอีกด้วย
หากฝ้าฝังลึกถึงเซลล์ผิวชั้นใน วิธีรักษาฝ้าให้หายขาดนั้นอาจจะทำได้แค่เพียงช่วยให้เม็ดสีจางลงเท่านั้น
ฝ้าต่างจากกระอย่างไร ?
เชื่อว่าส่วนมากต้องคิดว่าฝ้าและกระเป็นลักษณะผิดปกติของสีผิวที่เหมือนกัน
ซึ่งจริงๆ แล้วเราแยกฝ้าออกจากกระด้วยสาเหตุที่ทำให้เกิด กระที่เกิดขึ้นบนผิวหน้ามักจะมาจากความร้อน แสงแดด
ทว่าฝ้าจะมีส่วนของฮอร์โมนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมากพอสมควร นอกจากนี้ฝ้ายังสามารถส่งผ่านทางพันธุกรรมได้ด้วย
ใครที่มีพ่อแม่ ญาติพี่น้องเป็นฝ้า โอกาสเสี่ยงที่จะทำให้ผิวเกิดฝ้าได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
เมื่อรักษาหายแล้วยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูงด้วย
ไม่ใช่เพียงแสงแดดเท่านั้นที่ทำให้เกิดฝ้า แต่ยังรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนอย่างรวดเร็ว
พบได้ในหญิงตั้งครรภ์และวัยทอง แม้ผิวไม่สัมผัสแดด ก็พบรอยเม็ดสีขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน
ชนิดของฝ้า
ฝ้าแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ซึ่งจัดแบ่งตามความลึกตื้น ได้แก่
1.ฝ้าที่เกิดในระดับตื้น
เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นอยู่ในระดับเดียวกันกับชั้นหนังกำพร้าหรือผิวชั้นนอกนั่นเอง
เป็นฝ้าที่พบได้บ่อยและเกิดได้ง่าย มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้ม มองเห็นชัดเจน โดยเฉพาะส่วนขอบ
แต่รักษาได้ง่ายและหายไว การรักษาไม่ยุ่งยากหากผู้ป่วยรู้จักดูแลตัวเองไปพร้อมๆ กับการทายารักษาแบบอ่อน
ร่วมกับการใช้ครีมกันแดดป้องกันผิว หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดด ฝ้าที่เกิดขึ้นก็จะค่อยๆ จางลงและลบเลือนไปในที่สุด
2.ฝ้าที่เกิดในระดับลึก
เป็นฝ้าที่รักษาได้ยาก และมีความซับซ้อน อาการผิดปกติของเม็ดสีจะอยู่ลึกลงไปมากกว่าชั้นหนังกำพร้า
ในส่วนของหนังแท้ สังเกตได้ว่าจะเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน มองเห็นขอบได้ไม่ชัดเจน ส่วนมากการรักษาจะช่วยให้ฝ้าลดเลือนลงไปได้
แต่ไม่ถึงกับทำให้หายขาด สามารถใช้ยาทาฝ้าร่วมกับครีมกันแดดได้
เพียงแค่ทำให้ฝ้าไม่เข้มขึ้นไปกว่านี้ หรือจางลงกว่าเดิมเท่านั้น ร่องรอยด่างดำก็ยังคงอยู่เช่นเดิม
**ฝ้าทั้งสองชนิดที่พบบนผิวหน้า อาจจะเกิดขึ้นเพียงชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น แต่บางคนก็สามารถเกิดฝ้าทั้งสองชนิดพร้อมๆ กันได้**
ต้นตอที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดฝ้า
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้า มีตัวกระตุ้นหลายอย่างเข้ามาพร้อมๆ กัน จนไปทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีในชั้นผิวหนังถูกทำลาย
เกิดความผิดปกติในการสร้างเซลล์เม็ดสีมากขึ้น ทำให้มองเห็นเป็นจุดด่างดำขึ้นมา โดยปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้เกิดฝ้า คือ
1.การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย
เนื่องจากฝ้ามีตัวกระตุ้นเป็นฮอร์โมนจากร่างกายเพิ่มเข้ามาด้วย
ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่แม้คนไม่ค่อยโดนแสงแดดก็เกิดเป็นฝ้าขึ้นบนผิวหน้าได้ ฮอร์โมนจะเข้าไปส่งผลให้เม็ดสีทำงานผิดปกติ
เช่น เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน, การตั้งครรภ์, การได้รับยาฮอร์โมนจากภายนอก,
การรับประทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน และเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของฮอร์โมน เป็นต้น
2.การที่ผิวสัมผัสกับแสงแดด
ปัจจัยจากแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์สร้างเม็ดสีได้เป็นอย่างมาก
เนื่องจากในแสงแดดมีรังสีอุลตราไวโอเลต และแสงชนิด visible light ที่ยิ่งเป็นตัวการทำให้เกิดฝ้าได้มากขึ้น
โดยความเข้มข้นของรังสีจะมีมากในช่วง 10 โมงเช้าไปจนถึงบ่ายสามโมง หากจำเป็นต้องออกกลางแจ้ง ควรทาครีมกันแดด และสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด
3.การใช้เครื่องสำอางเป็นประจำ
เนื่องจากเครื่องสำอางมีส่วนประกอบของสารเคมีอยู่เป็นจำนวนมาก สาวๆ ที่ต้องใช้เครื่องสำอางเป็นประจำ
มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ผิวหน้าเกิดอาการระคายเคือง อีกทั้งการล้างทำความสะอาดไม่หมด
ผิวอาจจะเกิดอาการแพ้ และทำให้เป็นรอยด่างดำจากเม็ดสีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันกับฝ้า
โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสี และน้ำหอม
4.การส่งผ่านทางพันธุกรรม
พันธุกรรมมีส่วนที่ทำให้การเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้นกว่าในคนปกติถึงร้อยละ 50 เลยทีเดียว
5.การทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
สาวๆ ออฟฟิศที่ทำงานอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันทั้งวัน มีโอกาสเป็นฝ้าได้ง่ายเช่นกัน
เนื่องจากรังสีที่มองไม่เห็นแผ่ออกมา ทำให้เกิดอาการระคายเคืองที่ผิวแบบไม่รู้ตัว
วิธีรักษาฝ้าให้หายขาด
การแก้ไขฝ้าในปัจจุบันมีหลากหลาย แต่วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาดนั้นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละคนว่ารุนแรงในระดับไหน
เพราะฝ้าที่ลึกจะมีการรักษาที่ยุ่งยากซับซ้อน อาจไม่สามารถหายได้ถาวร มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีก
คนที่มีปัญหาฝ้า หากไม่ได้สนใจเรื่องความสวยความงามของตัวเอง อาจจะทิ้งผิวหน้าเอาไว้แบบนั้นโดยไม่ทำการรักษา
แต่สำหรับสาวๆ ที่กังวลกับปัญหานี้อย่างมาก ทางเลือกในการรักษามีตั้งแต่แบบธรรมชาติและแบบสมัยใหม่ที่นำเอาเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยอีกทางหนึ่ง
วิธีดูแลรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ
การรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ ต้องบอกไว้ก่อนว่าจะเหมาะสำหรับสาวๆ ที่มีปัญหาฝ้าในระยะเริ่มต้นแล้วรีบทำการรักษา
เพราะคุณสมบัติของสารธรรมชาติจะไม่เหมาะกับการรักษาฝ้าที่ฝังลึก มีสีเข้มจัด เราสามารถแบ่งการรักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติได้ดังนี้
1.สูตรว่านหางจระเข้
เป็นสูตรที่ได้รับความนิยมในการรักษาฝ้าตามแบบฉบับธรรมชาติมากที่สุด
ด้วยการใช้ว่านหางที่เป็นใบแก่ขนาดใหญ่ ที่อยู่โคนล่างเพียง 1 ใบ มาล้างทำความสะอาด
แล้วปอกเปลือกเอาวุ้นด้านในมาล้างให้ยางสีเหลืองออกไปให้หมด นำมาปั่นหรือบดให้ละเอียด พอกทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
2.สูตรมะขามเปียกผสมน้ำผึ้ง
นำเอาเนื้อมะขามเปียกมาบดผสมน้ำ แล้วกรองแค่ส่วนเนื้อออกมาให้มีลักษณะเป็นเนื้อครีม
ผสมกับน้ำผึ้งเล็กน้อย ทาบางๆ ในจุดที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออก
ซึ่งคุณสมบัติของมะขามเปียกจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า และน้ำผึ้งจะช่วยเพิ่มเกราะป้องกันผิวจากแสงแดดอีกทางหนึ่ง
3.สูตรหัวไชเท้า
เป็นสูตรกำจัดฝ้าที่ได้รับความนิยมอีกสูตรหนึ่ง แต่จะเหมาะกับสภาพผิวที่ระคายเคืองยาก
ด้วยการเอาเนื้อหัวไชเท้าสดมาบดหรือปั่นให้ละเอียด จากนั้นนำเอามาพอกไว้ที่ตำแหน่งที่เกิดฝ้าประมาณ 10-30 นาที (หากรู้สึกแสบมากจนทนไม่ไหวให้รีบล้างออกก่อนเวลา) แล้วล้างทำความสะอาด
4.สูตรไข่ขาว
เลือกเอาแค่ส่วนของไข่ขาวมาตีให้เนื้อเนียนแตกตัวออกจากกัน แล้วทาบางๆ ไว้บริเวณที่เป็นฝ้า
ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที หรือรอจนกระทั่งไข่ขาวแห้งตัว คุณสมบัติของไข่ขาวจะช่วยดูดซับเอาสิ่งสกปรกที่เกิดขึ้นบนผิวหน้าให้หลุดลอกออกไป
และช่วยซับให้รอยฝ้าจางลง เหมาะสำหรับคนที่มีผิวหน้ายังเป็นฝ้าแค่ในระดับจางๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
5.สูตรใบบัวบก
นำใบบัวบกมาล้างทำความสะอาดประมาณ 1 กำ ปั่นผสมกับน้ำดื่มสะอาดเล็กน้อย
แล้วคั้นเอาแต่น้ำสีเขียวข้นมาทาแทนโทนเนอร์ก่อนนอน จะช่วยลดรอยฝ้าและกระที่เกิดขึ้นให้ดูจางลงได้
วิธีดูแลรักษาฝ้าด้วยเทคโนโลยี
สำหรับการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดเลือนและกำจัดฝ้า จะเหมาะสำหรับวิธีรักษาฝ้าให้หายขาดในกลุ่มคนที่มีรอยฝ้าฝังลึกและเป็นมานาน
การรักษาจะทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และบางเคสจำเป็นต้องใช้เงินในการรักษามาก ซึ่งมีทางเลือกให้สาวๆ ที่ได้รับความนิยมดังนี้
1.การยิงเลเซอร์
การยิงเลเซอร์แบบธรรมดา จะเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในอดีต ซึ่งในปัจจุบันไม่ได้รับความนิยมแล้ว
เพราะมีผลข้างเคียงตามมามาก แม้ว่าจะยังมีการนำเอาวิธีดังกล่าวมาใช้อยู่ ก็จัดอยู่ในกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น
เนื่องจากเลเซอร์ที่นำมาใช้เป็นชนิดที่ทำลายผิว เหมือนกับการขูดลอกผิว ทำให้เกิดเป็นแผลเป็นตามมา
มีข้อดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่นำมาใช้คือความแม่นยำสูง ช่วยให้เข้าไปแก้ไขปัญหาฝ้าได้อย่างตรงจุด
แต่ไม่คุ้มเสี่ยงกับรอยแผลเป็นและความผิดพลาดที่จะตามมา
**การยิงเลเซอร์ในปัจจุบันถูกปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น ด้วยการใช้วิธีรักษาแบบทำลายเม็ดสีแค่บางส่วนเท่านั้น
โดยใช้เลเซอร์ชนิดเดิม แต่เปลี่ยนกระบวนการยิงเข้าสู่ผิว โดยเน้นให้ไปตกกระทบที่เม็ดสีผิวจนเกิดการแตกตัวออกมาเอง
ฝ้าก็จะค่อยๆ จางลงไปในแต่ละครั้งที่ทำ ทว่ายังเป็นการรักษาที่ช่วยแค่ให้ฝ้าจางลงเท่านั้น
คนที่มีฝ้าแพร่กระจายมากและอยู่ลึก วิธีนี้จะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ และจะต้องใช้ระยะเวลานานมากในการรักษาด้วย
2.การใช้ยาทาฝ้า
ที่ได้รับความนิยมในการรักษามากที่สุดในปัจจุบัน ได้แก่
1.ไฮโดรควิโนน
ซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยขัดขวางเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ผลิดเม็ดสีให้น้อยลง ซึ่งมีอยู่ทั้งในแบบสาระลายผสมแอลกอฮอล์และแบบเนื้อครีม
แต่การใช้ยาชนิดนี้จะต้องสั่งโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น
เนื่องจากมีระดับความเข้มข้นที่จำกัดแตกต่างกันสำหรับผิวของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปจะให้ใช้อยู่ในสัดส่วนความเข้มข้นไม่เกินร้อยละ 2
2.เทรทิโนอิน
นี่คือยาที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอเป็นหลัก ได้ผลสำหรับคนที่เป็นฝ้าไม่มากนัก
แต่เมื่อเทียบกับยาไฮโดรควิโนนแล้วจะให้ผลด้อยกว่า ในตัวยาบางชนิดจะมีการผสมกรดวิตามินเอ
ไฮโดรควิโนน และสเตียรอยด์เข้าด้วยกัน ซึ่งจะให้ผลดีกว่าแค่การใช้กรดวิตามินเอเพียงอย่างเดียว
3.กรดอาซิเลอิก
ส่วนมากไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าใดนัก จะอยู่ในรูปแบบของครีม
มีการออกฤทธิ์ใกล้เคียงกับไฮโดรควินินในความเข้มข้นร้อยละ 4 เสี่ยงที่จะทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่าย
4.สารสเตียรอยด์
การรักษาฝ้าด้วยสารสเตียรอยด์เพียงอย่างเดียว ช่วยให้ฝ้าจางลงได้ แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
เสี่ยงทำให้เกิดผลข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นสิว เส้นเลือดฝอยขยายตัว หรือผิวแพ้ง่าย มีชั้นผิวที่บางมากขึ้น ฯลฯ
วิธีป้องกันไม่ให้ผิวเกิดฝ้า
1.หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดและความร้อน หากจำเป็นควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 45 ขึ้นไป
ซึ่งจะช่วยป้องกันผิวได้ราว 8 ชั่วโมง อย่าลืมสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดให้ได้มากที่สุด
2.หากจำเป็นต้องใช้เครื่องสำอางทุกวัน ควรเลือกใช้ชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เลือกใช้เครื่องสำอางที่มีความอ่อนโยนและดูแลผิวไปในตัว
3.ล้างทำความสะอาดและบำรุงผิวหน้าทุกครั้งก่อนนอน ด้วยการใช้คลีนซิ่งเช็ดผิวหน้าเพื่อกำจัดเอาสิ่งสกปรกภายในรูขุมขนออกไป
และทาครีมบำรุงทุกครั้ง เพื่อช่วยให้ผิวหน้าได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ในช่วงเวลานอนหลับ
4.พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักและผลไม้
หมั่นสังเกตผิวหน้าของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ หากพบรอยจุดด่างเกิดขึ้น ให้รีบทำการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
Photo Credit : binipatia.com
อย่างไรก็ตามวิธีรักษาฝ้าให้หายขาด อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ การรักษาให้ผิวหน้ากลับมาเนียนใสเป็นธรรมชาติเหมือนเดิม
โดยปราศจากรอยด่างดำ จะต้องดูสภาพผิวหน้าของแต่ละคนด้วยว่า ระดับฝ้าที่เกิดขึ้นลึกหรือตื้น
แล้วมีพฤติกรรมในการดูแลตัวเองได้เหมาะสมหรือไม่ เพราะบางคนหายแล้ว ก็กลับมาเป็นอีกได้หากป้องกันตัวเองอย่างไม่ถูกวิธีนั่นเองค่ะ