วิธีรักษาฝ้าให้หายขาด ด้วยวิธีแก้ไขและป้องกันให้ตรงจุด!

วิธีรักษาฝ้าให้หายขาด

นอกจากปัญหาสิวบนผิวหน้าที่สร้างความกังวลใจให้กับสาวๆ ที่รักสวยรักงามแล้ว

ยังมีปัญหาฝ้าและกระ ที่กลายเป็นตัวการทำให้สาวๆ หมดความมั่นใจกันมานักต่อนัก

เพราะเมื่อรอยด่างดำเหล่านี้ปรากฏขึ้นมา กลายเป็นตำหนิที่เริ่มจากบางๆ เมื่อทำการรักษาไม่ถูกวิธีหรือปล่อยทิ้งไว้

ก็จะทำให้สีของมันเข้มมากขึ้น การมองหาวิธีรักษาฝ้าให้หายขาด สิ่งสำคัญคือการรู้จักต้นตอที่ทำให้เกิดเสียก่อน

จากนั้นก็ควรทำการรักษาให้ตรงจุด ด้วยวิธีการที่ปลอดภัย ซึ่งสาวๆ ที่กำลังเผชิญปัญหานี้

ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ก็ควรมาทำความเข้าใจกับรอยด่างดำเหล่านี้กันให้มากขึ้น จะได้หาแนวทางแก้ไขได้อย่างตรงจุดมากที่สุดนั่นเองค่ะ

ลักษณะของฝ้าที่เกิดขึ้นบนผิวหน้า

ฝ้า (Melasma) เป็นลักษณะที่เกิดขึ้นบนผิว คือเม็ดสีเมลานินที่มาจากการถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยแวดล้อมต่างๆ

ทั้งภายนอกและภายในร่างกาย มองเห็นได้ทั้งแบบจางๆ และสีเข้มชัดเจน มักเป็นสีน้ำตาลอมแดง

ขนาดต่างกันออกไป จะขึ้นอยู่บนผิวเป็นหย่อมๆ หรือกระจายตัวไปเรื่อยๆ จนมีขนาดใหญ่

บริเวณที่พบฝ้าได้มากที่สุดคือ สันจมูก, โหนกแก้ม และหน้าผาก สาวๆ ที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป

มีโอกาสเสี่ยงทำให้เกิดฝ้าที่ผิวหนังได้ง่ายกว่าในวัยเด็ก โดยเฉพาะคนที่ต้องเผชิญกับแดดแรงๆ อยู่เป็นประจำ

และเป็นเวลานานซ้ำๆ กัน จะทำให้เม็ดสีถูกกระตุ้นขึ้นมา หากปล่อยทิ้งเอาไว้นานจะทำการดูแลรักษาได้ยาก

การที่ผิวหน้าจะกลับมาเนียนใสเหมือนเดิม ก็เป็นเรื่องที่สาวๆ อาจจะต้องทำใจอีกด้วย

หากฝ้าฝังลึกถึงเซลล์ผิวชั้นใน วิธีรักษาฝ้าให้หายขาดนั้นอาจจะทำได้แค่เพียงช่วยให้เม็ดสีจางลงเท่านั้น

ฝ้าต่างจากกระอย่างไร ?

เชื่อว่าส่วนมากต้องคิดว่าฝ้าและกระเป็นลักษณะผิดปกติของสีผิวที่เหมือนกัน

ซึ่งจริงๆ แล้วเราแยกฝ้าออกจากกระด้วยสาเหตุที่ทำให้เกิด  กระที่เกิดขึ้นบนผิวหน้ามักจะมาจากความร้อน แสงแดด

ทว่าฝ้าจะมีส่วนของฮอร์โมนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมากพอสมควร นอกจากนี้ฝ้ายังสามารถส่งผ่านทางพันธุกรรมได้ด้วย

ใครที่มีพ่อแม่ ญาติพี่น้องเป็นฝ้า โอกาสเสี่ยงที่จะทำให้ผิวเกิดฝ้าได้ง่ายกว่าคนทั่วไป

เมื่อรักษาหายแล้วยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูงด้วย

ไม่ใช่เพียงแสงแดดเท่านั้นที่ทำให้เกิดฝ้า แต่ยังรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนอย่างรวดเร็ว

พบได้ในหญิงตั้งครรภ์และวัยทอง แม้ผิวไม่สัมผัสแดด ก็พบรอยเม็ดสีขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน

ชนิดของฝ้า

ฝ้าแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ซึ่งจัดแบ่งตามความลึกตื้น ได้แก่

1.ฝ้าที่เกิดในระดับตื้น

เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นอยู่ในระดับเดียวกันกับชั้นหนังกำพร้าหรือผิวชั้นนอกนั่นเอง

เป็นฝ้าที่พบได้บ่อยและเกิดได้ง่าย มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้ม มองเห็นชัดเจน โดยเฉพาะส่วนขอบ

แต่รักษาได้ง่ายและหายไว การรักษาไม่ยุ่งยากหากผู้ป่วยรู้จักดูแลตัวเองไปพร้อมๆ กับการทายารักษาแบบอ่อน

ร่วมกับการใช้ครีมกันแดดป้องกันผิว หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดด ฝ้าที่เกิดขึ้นก็จะค่อยๆ จางลงและลบเลือนไปในที่สุด

2.ฝ้าที่เกิดในระดับลึก

เป็นฝ้าที่รักษาได้ยาก และมีความซับซ้อน อาการผิดปกติของเม็ดสีจะอยู่ลึกลงไปมากกว่าชั้นหนังกำพร้า

ในส่วนของหนังแท้ สังเกตได้ว่าจะเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน มองเห็นขอบได้ไม่ชัดเจน ส่วนมากการรักษาจะช่วยให้ฝ้าลดเลือนลงไปได้

แต่ไม่ถึงกับทำให้หายขาด สามารถใช้ยาทาฝ้าร่วมกับครีมกันแดดได้

เพียงแค่ทำให้ฝ้าไม่เข้มขึ้นไปกว่านี้ หรือจางลงกว่าเดิมเท่านั้น ร่องรอยด่างดำก็ยังคงอยู่เช่นเดิม

**ฝ้าทั้งสองชนิดที่พบบนผิวหน้า อาจจะเกิดขึ้นเพียงชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น แต่บางคนก็สามารถเกิดฝ้าทั้งสองชนิดพร้อมๆ กันได้**

ต้นตอที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดฝ้า

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้า มีตัวกระตุ้นหลายอย่างเข้ามาพร้อมๆ กัน จนไปทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีในชั้นผิวหนังถูกทำลาย

เกิดความผิดปกติในการสร้างเซลล์เม็ดสีมากขึ้น ทำให้มองเห็นเป็นจุดด่างดำขึ้นมา โดยปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้เกิดฝ้า คือ

1.การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย

เนื่องจากฝ้ามีตัวกระตุ้นเป็นฮอร์โมนจากร่างกายเพิ่มเข้ามาด้วย

ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่แม้คนไม่ค่อยโดนแสงแดดก็เกิดเป็นฝ้าขึ้นบนผิวหน้าได้ ฮอร์โมนจะเข้าไปส่งผลให้เม็ดสีทำงานผิดปกติ

เช่น เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน, การตั้งครรภ์, การได้รับยาฮอร์โมนจากภายนอก,

การรับประทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน และเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของฮอร์โมน เป็นต้น

2.การที่ผิวสัมผัสกับแสงแดด

ปัจจัยจากแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์สร้างเม็ดสีได้เป็นอย่างมาก

เนื่องจากในแสงแดดมีรังสีอุลตราไวโอเลต และแสงชนิด visible light ที่ยิ่งเป็นตัวการทำให้เกิดฝ้าได้มากขึ้น

โดยความเข้มข้นของรังสีจะมีมากในช่วง 10 โมงเช้าไปจนถึงบ่ายสามโมง หากจำเป็นต้องออกกลางแจ้ง ควรทาครีมกันแดด และสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด

3.การใช้เครื่องสำอางเป็นประจำ

เนื่องจากเครื่องสำอางมีส่วนประกอบของสารเคมีอยู่เป็นจำนวนมาก สาวๆ ที่ต้องใช้เครื่องสำอางเป็นประจำ

มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ผิวหน้าเกิดอาการระคายเคือง อีกทั้งการล้างทำความสะอาดไม่หมด

ผิวอาจจะเกิดอาการแพ้ และทำให้เป็นรอยด่างดำจากเม็ดสีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันกับฝ้า

โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสี และน้ำหอม

4.การส่งผ่านทางพันธุกรรม

พันธุกรรมมีส่วนที่ทำให้การเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้นกว่าในคนปกติถึงร้อยละ 50 เลยทีเดียว

5.การทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน

สาวๆ ออฟฟิศที่ทำงานอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันทั้งวัน มีโอกาสเป็นฝ้าได้ง่ายเช่นกัน

เนื่องจากรังสีที่มองไม่เห็นแผ่ออกมา ทำให้เกิดอาการระคายเคืองที่ผิวแบบไม่รู้ตัว

วิธีรักษาฝ้าให้หายขาด

การแก้ไขฝ้าในปัจจุบันมีหลากหลาย แต่วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาดนั้นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละคนว่ารุนแรงในระดับไหน

เพราะฝ้าที่ลึกจะมีการรักษาที่ยุ่งยากซับซ้อน อาจไม่สามารถหายได้ถาวร มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีก

คนที่มีปัญหาฝ้า หากไม่ได้สนใจเรื่องความสวยความงามของตัวเอง อาจจะทิ้งผิวหน้าเอาไว้แบบนั้นโดยไม่ทำการรักษา

แต่สำหรับสาวๆ ที่กังวลกับปัญหานี้อย่างมาก ทางเลือกในการรักษามีตั้งแต่แบบธรรมชาติและแบบสมัยใหม่ที่นำเอาเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยอีกทางหนึ่ง

วิธีดูแลรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ

การรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ ต้องบอกไว้ก่อนว่าจะเหมาะสำหรับสาวๆ ที่มีปัญหาฝ้าในระยะเริ่มต้นแล้วรีบทำการรักษา

เพราะคุณสมบัติของสารธรรมชาติจะไม่เหมาะกับการรักษาฝ้าที่ฝังลึก มีสีเข้มจัด เราสามารถแบ่งการรักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติได้ดังนี้

1.สูตรว่านหางจระเข้

เป็นสูตรที่ได้รับความนิยมในการรักษาฝ้าตามแบบฉบับธรรมชาติมากที่สุด

ด้วยการใช้ว่านหางที่เป็นใบแก่ขนาดใหญ่ ที่อยู่โคนล่างเพียง 1 ใบ มาล้างทำความสะอาด

แล้วปอกเปลือกเอาวุ้นด้านในมาล้างให้ยางสีเหลืองออกไปให้หมด นำมาปั่นหรือบดให้ละเอียด พอกทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

2.สูตรมะขามเปียกผสมน้ำผึ้ง

นำเอาเนื้อมะขามเปียกมาบดผสมน้ำ แล้วกรองแค่ส่วนเนื้อออกมาให้มีลักษณะเป็นเนื้อครีม

ผสมกับน้ำผึ้งเล็กน้อย ทาบางๆ ในจุดที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออก

ซึ่งคุณสมบัติของมะขามเปียกจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า และน้ำผึ้งจะช่วยเพิ่มเกราะป้องกันผิวจากแสงแดดอีกทางหนึ่ง

3.สูตรหัวไชเท้า

เป็นสูตรกำจัดฝ้าที่ได้รับความนิยมอีกสูตรหนึ่ง แต่จะเหมาะกับสภาพผิวที่ระคายเคืองยาก

ด้วยการเอาเนื้อหัวไชเท้าสดมาบดหรือปั่นให้ละเอียด จากนั้นนำเอามาพอกไว้ที่ตำแหน่งที่เกิดฝ้าประมาณ 10-30 นาที (หากรู้สึกแสบมากจนทนไม่ไหวให้รีบล้างออกก่อนเวลา) แล้วล้างทำความสะอาด

4.สูตรไข่ขาว

เลือกเอาแค่ส่วนของไข่ขาวมาตีให้เนื้อเนียนแตกตัวออกจากกัน แล้วทาบางๆ ไว้บริเวณที่เป็นฝ้า

ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที หรือรอจนกระทั่งไข่ขาวแห้งตัว คุณสมบัติของไข่ขาวจะช่วยดูดซับเอาสิ่งสกปรกที่เกิดขึ้นบนผิวหน้าให้หลุดลอกออกไป

และช่วยซับให้รอยฝ้าจางลง เหมาะสำหรับคนที่มีผิวหน้ายังเป็นฝ้าแค่ในระดับจางๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

5.สูตรใบบัวบก

นำใบบัวบกมาล้างทำความสะอาดประมาณ 1 กำ ปั่นผสมกับน้ำดื่มสะอาดเล็กน้อย

แล้วคั้นเอาแต่น้ำสีเขียวข้นมาทาแทนโทนเนอร์ก่อนนอน จะช่วยลดรอยฝ้าและกระที่เกิดขึ้นให้ดูจางลงได้

วิธีดูแลรักษาฝ้าด้วยเทคโนโลยี

สำหรับการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดเลือนและกำจัดฝ้า จะเหมาะสำหรับวิธีรักษาฝ้าให้หายขาดในกลุ่มคนที่มีรอยฝ้าฝังลึกและเป็นมานาน

การรักษาจะทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และบางเคสจำเป็นต้องใช้เงินในการรักษามาก ซึ่งมีทางเลือกให้สาวๆ ที่ได้รับความนิยมดังนี้

1.การยิงเลเซอร์

การยิงเลเซอร์แบบธรรมดา จะเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในอดีต ซึ่งในปัจจุบันไม่ได้รับความนิยมแล้ว

เพราะมีผลข้างเคียงตามมามาก แม้ว่าจะยังมีการนำเอาวิธีดังกล่าวมาใช้อยู่ ก็จัดอยู่ในกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น

เนื่องจากเลเซอร์ที่นำมาใช้เป็นชนิดที่ทำลายผิว เหมือนกับการขูดลอกผิว ทำให้เกิดเป็นแผลเป็นตามมา

มีข้อดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่นำมาใช้คือความแม่นยำสูง ช่วยให้เข้าไปแก้ไขปัญหาฝ้าได้อย่างตรงจุด

แต่ไม่คุ้มเสี่ยงกับรอยแผลเป็นและความผิดพลาดที่จะตามมา

**การยิงเลเซอร์ในปัจจุบันถูกปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น ด้วยการใช้วิธีรักษาแบบทำลายเม็ดสีแค่บางส่วนเท่านั้น

โดยใช้เลเซอร์ชนิดเดิม แต่เปลี่ยนกระบวนการยิงเข้าสู่ผิว โดยเน้นให้ไปตกกระทบที่เม็ดสีผิวจนเกิดการแตกตัวออกมาเอง

ฝ้าก็จะค่อยๆ จางลงไปในแต่ละครั้งที่ทำ ทว่ายังเป็นการรักษาที่ช่วยแค่ให้ฝ้าจางลงเท่านั้น

คนที่มีฝ้าแพร่กระจายมากและอยู่ลึก วิธีนี้จะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ และจะต้องใช้ระยะเวลานานมากในการรักษาด้วย

2.การใช้ยาทาฝ้า

ที่ได้รับความนิยมในการรักษามากที่สุดในปัจจุบัน ได้แก่

1.ไฮโดรควิโนน

ซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยขัดขวางเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ผลิดเม็ดสีให้น้อยลง ซึ่งมีอยู่ทั้งในแบบสาระลายผสมแอลกอฮอล์และแบบเนื้อครีม

แต่การใช้ยาชนิดนี้จะต้องสั่งโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น

เนื่องจากมีระดับความเข้มข้นที่จำกัดแตกต่างกันสำหรับผิวของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปจะให้ใช้อยู่ในสัดส่วนความเข้มข้นไม่เกินร้อยละ 2

2.เทรทิโนอิน

นี่คือยาที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอเป็นหลัก ได้ผลสำหรับคนที่เป็นฝ้าไม่มากนัก

แต่เมื่อเทียบกับยาไฮโดรควิโนนแล้วจะให้ผลด้อยกว่า ในตัวยาบางชนิดจะมีการผสมกรดวิตามินเอ

ไฮโดรควิโนน และสเตียรอยด์เข้าด้วยกัน ซึ่งจะให้ผลดีกว่าแค่การใช้กรดวิตามินเอเพียงอย่างเดียว

3.กรดอาซิเลอิก

ส่วนมากไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าใดนัก จะอยู่ในรูปแบบของครีม

มีการออกฤทธิ์ใกล้เคียงกับไฮโดรควินินในความเข้มข้นร้อยละ 4 เสี่ยงที่จะทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่าย

4.สารสเตียรอยด์

การรักษาฝ้าด้วยสารสเตียรอยด์เพียงอย่างเดียว ช่วยให้ฝ้าจางลงได้ แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน

เสี่ยงทำให้เกิดผลข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นสิว เส้นเลือดฝอยขยายตัว หรือผิวแพ้ง่าย มีชั้นผิวที่บางมากขึ้น ฯลฯ

วิธีป้องกันไม่ให้ผิวเกิดฝ้า

1.หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดและความร้อน หากจำเป็นควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 45 ขึ้นไป

ซึ่งจะช่วยป้องกันผิวได้ราว 8 ชั่วโมง อย่าลืมสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดให้ได้มากที่สุด

2.หากจำเป็นต้องใช้เครื่องสำอางทุกวัน ควรเลือกใช้ชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้

ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เลือกใช้เครื่องสำอางที่มีความอ่อนโยนและดูแลผิวไปในตัว

3.ล้างทำความสะอาดและบำรุงผิวหน้าทุกครั้งก่อนนอน ด้วยการใช้คลีนซิ่งเช็ดผิวหน้าเพื่อกำจัดเอาสิ่งสกปรกภายในรูขุมขนออกไป

และทาครีมบำรุงทุกครั้ง เพื่อช่วยให้ผิวหน้าได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ในช่วงเวลานอนหลับ

4.พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักและผลไม้

หมั่นสังเกตผิวหน้าของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ หากพบรอยจุดด่างเกิดขึ้น ให้รีบทำการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ

วิธีรักษาฝ้าให้หายขาด

Photo Credit :  binipatia.com

อย่างไรก็ตามวิธีรักษาฝ้าให้หายขาด อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ การรักษาให้ผิวหน้ากลับมาเนียนใสเป็นธรรมชาติเหมือนเดิม

โดยปราศจากรอยด่างดำ จะต้องดูสภาพผิวหน้าของแต่ละคนด้วยว่า ระดับฝ้าที่เกิดขึ้นลึกหรือตื้น

แล้วมีพฤติกรรมในการดูแลตัวเองได้เหมาะสมหรือไม่ เพราะบางคนหายแล้ว ก็กลับมาเป็นอีกได้หากป้องกันตัวเองอย่างไม่ถูกวิธีนั่นเองค่ะ