อาการไขมันพอกตับ ภัยเงียบใกล้ตัวที่หลายคนไม่เคยใส่ใจ

อาการไขมันพอกตับ อันตราย

ไขมันพอกตับ (fatty liver disease) อีกหนึ่งปัญหาสุขภาพที่อยู่ใกล้ตัวคนเราอย่างมาก โดยเฉพาะกับคนที่ร่างกายมีไขมันสะสมเยอะ

ใครที่ชอบกินอาหารที่มีไขมันสูงยิ่งมีแนวโน้มเสี่ยงที่จะมีอาการไขมันพอกตับ มากทีเดียว วันนี้ไปติดตามกันดีกว่านะคะว่า

อาการไขมันพอกตับนั้นคืออะไร มีภาวะความรุนแรงอย่างไรบ้าง และควรรับมือป้องกันอย่างไร รีบติดตามกันดังนี้เลยค่ะ

ไขมันพอกตับ คืออะไร?

ภาวะโรคไขมันพอกตับ โดยส่วนมากแล้วมักจะเกิดในกลุ่มคนที่ดื่มสุราอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จนเซลล์ของตับได้รับอันตราย

ซึ่งในระยะแรกจะมีไขมันมาพอกที่ตับ ถ้าหากหยุดดื่มสุราก็จะสามารถกลับสู่ปกติได้ แต่ถ้ายังคงดื่มอย่างต่อเนื่อง ตับจะกลายเป็นตับแข็ง

ซึ่งไม่สามารถกลับสู่ปกติได้ และภาวะไขมันพอกตับยังเกิดขึ้นได้กับคนอ้วนอีกด้วย เรียกว่าโรคไขมันพอกตับ (fatty liver disease)

fatty liver disease เป็นโรคที่เกิดจากการสังเคราะห์ไขมันในตับผิดปกติ ทำให้ไขมันโดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับ

หากมีน้ำหนักที่มากเกินกว่า 5% ของตับ จะส่งผลให้ตับทำงานอย่างผิดปกติ ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ

และอาจจะพัฒนาเป็นตับแข็งได้ในที่สุด ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว โรคไขมันพอกตับ (fatty liver disease) มักจะพบมากในกลุ่มคนที่อ้วนลงพุง

คือมีขนาดรอบเอวมากกว่าหรือเท่ากับ 40 นิ้ว หรือ 102 เซนติเมตร ในผู้ชาย และในผู้หญิง ขนาดรอบเอวเท่ากับหรือมากกว่า 35 นิ้ว

หรือ 88 เซนติเมตร และยังพบในกลุ่มผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง

ความรุนแรงของโรคไขมันพอกตับ

ระยะที่ 1 คือ ระยะที่เนื้อตับมีไขมันสะสม แต่ยังไม่มีการอักเสบหรือเกิดพังผืดขึ้นในตับ

ระยะที่ 2 คือ ระยะที่ตับเริ่มมีอาการอักเสบ ซึ่งในระยะนี้หากไม่ควบคุมดูแลให้ดี และยังปล่อยให้การอักเสบดำเนินไปเรื่อย ๆ มากกว่า 6 เดือน อาจพัฒนากลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง

ระยะที่ 3 คือ ระยะที่มีการอักเสบอย่างรุนแรง ทำให้เกิดพังผืดในตับ และเซลล์ตับ จะค่อย ๆ ถูกทำลายลง

ระยะที่ 4 คือ ระยะที่เซลล์ตับถูกทำลายไปมาก ส่งผลให้ตับไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติอีกต่อไป ทำให้ตับแข็งและอาจพัฒนากลายเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด

ซึ่งในระยะแรกของโรคไขมันพอกตับ โดยส่วนมากแล้วจะไม่มีการแสดงอาการใด ๆ ออกมา

และในบางรายแม้จะพัฒนาจนกลายเป็นตับอักเสบหรือตับแข็งก็ยังไม่มีการแสดงอาการ แต่ในบางรายในระยะแรกอาจจะมีอาการทั่ว ๆ ไป

เช่น อ่อนเพลียง่าย ไม่มีเรี่ยวแรง เบื่ออาหาร มีอาการอึดอัดหรือปวดแน่นบริเวณชายโครงด้านขวา

มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย มีอาการท้องผูกหรือท้องเสียเป็นประจำ และผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการรุนแรง

อาจจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีอาการดีซ่าน ตาเหลือง ตัวเหลือง ซึ่งโดยส่วนมากแล้วมักจะพบภาวะไขมันพอกตับ

จากการเข้ารับการเจาะเลือดตรวจสุขภาพประจำปี หรือตรวจทางการแพทย์ด้วยเหตุผลอื่น ๆ

สัญญาณเตือนที่อาจบ่งชี้ว่าตับเริ่มมีปัญหา

  • รู้สึกเหนื่อย และอ่อนเพลีย
  • ชายโครงด้านขวา มีอาการเจ็บตึง ๆ
  • รู้สึกเบื่ออาหาร ทานไม่ลง และในบางครั้งมีอาการคลื่นไส้
  • มีโรคประจำตัว อย่างเบาหวาน
  • ระดับคอเสลเตอรอลกับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
  • น้ำหนักเยอะ และมีไขมันสะสมที่บริเวณหน้าท้อง
  • ลดน้ำหนักอย่างไรน้ำหนักก็ไม่ยอมลง

คำแนะนำในการดูแลตัวเอง เมื่อป่วยเป็นไขมันพอกตับ

– ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

– พบแพทย์ตามนัดเสมอ และรีบเข้าพบแพทย์ หากอาการแย่ลง หรือมีอาการที่ผิดไปจากเดิม

– รักษาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุทำให้เป็นไขมันพอกตับ อย่างเช่น โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน

– ใช้ยาเท่าที่จำเป็น และควรเป็นยาที่แพทย์สั่งเท่านั้น

– งดทานยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่นอกเหนือจากที่แพทย์สั่ง

– ควรออกกำลังกายแบบพอเหมาะในทุกวัน หรืออย่างน้อย 5 วันต่ออาทิตย์ โดยมีการพบว่าการออกกำลังกาย

สามารถช่วยในการลดภาวะอักเสบของตับได้อย่างชัดเจน ยืนยันได้จากผลการเจาะตับหรือผลตรวจเลือดค่าทำงานตับ ซึ่งทั่วไปพบว่า

ผู้ป่วยที่ออกกำลังกายจะมีน้ำหนักลดลง และมีการเปลี่ยนแปลงภาวะดื้อต่ออินซูลินที่มีอยู่เดิมให้ลดลง ก็จะสามารถช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดีขึ้น

– ลดน้ำหนัก ควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้เกิน

– จำกัดอาหารที่ให้พลังงาน โดยเฉพาะไขมันกับคาร์โบไฮเดรต

– งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

โดยในการรักษาโรคไขมันพอกตับ จะมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ ไม่ใช้ยาแต่ต้องดูแลตัวเองมาก ๆ ตามคำแนะนำ และใช้ยาในการรักษา

ซึ่งในปัจจุบันจะมีการใช้ยาอยู่ไม่กี่ชนิด และจากผลการวิจับพบว่ายาเหล่านี้สามารถช่วยลดการอักเสบของตับ

แต่ไม่สามารถช่วยลดพังผืดในตับ โดยการใช้ยาเพื่อรักษาโรคไขมันพอกตับ จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

วิธีป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นโรคไขมันพอกตับ

1.โรคไขมันพอกตับ Fatty Liver มีสาเหตุมาจากความอ้วน ดังนั้นแล้วการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ

การออกกำลังกายต่อเนื่องเป็นประจำอย่างน้อยอาทิตย์ล่ะ 5 วัน โดยควรออกกำลังกายทั้งแบบแอโรบิคกับแบบมีแรงต้าน

อย่างเช่น เดินเร็วเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ต่อด้วยการยกน้ำหนักแบบแรงกระแทกต่ำ

2.เน้นทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นหลัก โดนเฉพาะอาหารไขมันต่ำ กากใยสูง และให้พลังงานต่ำ

3.เลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระให้ตับมากยิ่งขึ้น

4.เลิกใช้ยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือสมุนไพรที่ไม่จำเป็น เพราะจะทำให้ตับอักเสบ และอาจทำให้มีไขมันสะสมในตับเพิ่มขึ้น

โดยเฉพาะอาหารเสริมประเภทน้ำมันต่าง ๆ อย่าง น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส น้ำมันตับปลา และสมุนไพรต่าง ๆ

อย่างเช่น ขี้เหล็กหรือมะรุม เป็นสมุนไพรที่พบว่าทำให้ตับเกิดการอักเสบ

5.ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีห้ามขาด เพราะโดยส่วนมากแล้ว ผู้ป่วยโรคไขมันพอกตับจะพบอาการจากการเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี

Credit : ourcpc.com

ไม่อยากเป็น ไขมันพอกตับ ก็ควรใส่ใจดูแลสุขภาพกันตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันและรู้เท่าทันโรค

เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้คุณสุขภาพแข็งแรง ห่างไกลจาก โรคไขมันพอกตับ ได้แล้วค่ะ