โรคไขมันพอกตับ (fatty liver disease) เป็นโรคชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการที่มีไขมันไปสะสมในตับ ซึ่งจะสามารถตรวจพบได้บ่อยจากการที่ตับมีการทำงานผิดปกติเพียงเล็กน้อย
จะตรวจพบอยู่ในค่า SGOT และ SGPT ที่สูงมาก ซึ่งทั้งสองค่าเป็นเอนไซม์ที่หลั่งออกมาจากตับ ทำให้เราทราบว่า ตับอาจเกิดการอักเสบหรือทำงานผิดปกติอื่นใดเกิดขึ้น
โดยทั่วไปโรคนี้จะไม่ค่อยทำให้เกิดอาการเจ็บปวดใดๆ แต่มักจะไปส่งผลต่อสุขภาพในด้านอื่นแทน ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยลดลงเมื่อไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี
ดังนั้น เพื่อเป็นการดูแลสุขภาพตับของสาวๆ ให้มากขึ้น ลองมาเช็คสัญญาณร่างกายที่ผิดปกติ อาจมาจากสาเหตุของโรคนี้ก็เป็นได้ค่ะ
โรคไขมันพอกตับ คืออะไร ?
โดยปกติแล้ว ภายในตับจะมี ไขมันสะสม อยู่ราว 5-10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตับ
หากเกิดภาวะไขมันพอกตับนั่นหมายถึงมีไขมันเกินกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตับ โดยส่วนมากจะอยู่ในรูปของไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)
ปริมาณของไขมันที่พอกเกินมาในตับ มาจากปริมาณร่างกายที่ได้รับไขมันมากเกินไปจากการกินอาหาร ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดเอาส่วนเกินออกไปได้ทั้งหมด
ร่างกายจึงเปลี่ยนไขมันให้ไปสะสมอยู่ที่ตับแทน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะอักเสบของเซลล์ตับตามมาได้ในระยะยาว ทำให้เนื้อตับถูกทำลาย กลายเป็นพังผืด จนนำไปสู่โรคตับแข็งได้ในที่สุด
สาเหตุของการเกิดโรคไขมันพอกตับ
สาเหตุจากไขมันที่พอกอยู่ในตับเกิดได้จากหลายสาเหตุ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทด้วยกัน คือ
1.ไขมันพอกตับจากการดื่มสุรา
จะเป็นไขมันที่สะสมตัวจากสาเหตุของคนที่ดื่มสุราในปริมาณมากๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
ส่งผลให้เซลล์ตับถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง จนมีไขมันมาพอกอยู่ เป็นภาวะที่เกิดขึ้นในระยะแรก
หากไม่หยุดดื่มสุราภายใน 6 สัปดาห์ ตับก็จะค่อยๆ เสื่อมสภาพ นำไปสู่โรคตับแข็ง
และไม่สามารถกลับมาใช้งานตับได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ซึ่งในกลุ่มผู้ดื่มสุรา ยังเสี่ยงต่อการเกิดไขมันพอกตับแบบเฉียบพลันได้อีกด้วย
2.ไขมันพอกตับจากคนที่ไม่ดื่มสุรา
เรียกไขมันที่พอกตับชนิดนี้ว่า Nonalcoholic fatty liver disease (NAFLD)
ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่จะเป็นไขมันชนิด triglyceride สะสมอยู่ในเซลล์ตับได้โดยที่คนนั้นไม่เคยดื่มสุรามก่อน
ไขมันเหล่านี้จะเข้าไปส่งผลให้ตับเกิดอาการอักเสบในระยะเริ่มต้น ซึ่งเมื่อทำการตรวจจะพบปริมาณไขมันเกินร้อยละ 10 ของน้ำหนักตับ
3.ไขมันพอกตับร่วมกับการอักเสบ
ไขมันพอกตับในกลุ่มที่เกิดภาวะอักเสบร่วมด้วย ซึ่งพบได้ในกลุ่มที่ไมดื่มสุรา
เรียกกันว่า nonalcoholic steatohepatitis (NASH) สามารถกลายสภาพเป็นโรคตับแข็งได้เดียวกัน
ซึ่งในทางการแพทย์ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
4.ไขมันพอกตับในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์
เป็นโรคแทรกซ้อนที่พบได้ไม่บ่อยนัก เกิดขึ้นกับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์
มักพบในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายหลังจากคลอดบุตร
อาการไขมันพอกตับ เป็นอย่างไร
อาการไขมันพอกตับ โดยทั่วไปที่พบได้ ไม่ว่าจะเป็นชนิดที่เกิดขึ้นจากการดื่มสุราหรือไม่ดื่มมักจะมีอาการเหมือนๆ กัน
แต่โดยมากจะไม่ค่อยปรากฏอาการรุนแรงให้เห็น จะเป็นเพียงแค่ปวดบริเวณชายโครงด้านขวา
เริ่มต้นจากปวดแบบเล็กน้อย แล้วค่อยๆ มากขึ้นแบบช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป รู้สึกอ่อนเพลีย
เบื่ออาหาร ไม่มีเรี่ยวแรง น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้ม อาจคลำพบตับได้จากภายใน เนื่องจากตับบวมโต
ในรายที่ไม่มีอาการใดๆ ก่อนหน้านี้แสดงให้เห็น มักจะตรวจพบได้โดยบังเอิญจากการตรวจเลือด
และสังเกตค่าความผิดปกติในการทำงานของตับ หรือบางรายก็ตรวจพบจากการอุลตร้าซาวน์จากโรคอื่นของตับ ถุงน้ำดี หรือการตรวจบริเวณช่องท้อง
การรักษาโรคไขมันพอกตับ
การรักษาโรคไขมันพอกตับ หลังจากทำการวินิจฉัยอาการแล้ว หากพบว่ามีไขมันพอกเกินมาตรฐานที่ระบุไว้
จัดว่าผู้ป่วยเป็นโรคไขมันพอกตับ จะทำการรักษาด้วยการซักประวัติพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์
การเจ็บป่วยทั้งในอดีตและปัจจุบัน ประวัติการใช้ยา การตรวจสุขภาพ
มีการตรวจเลือดเพื่อดูค่าการทำงานของตับ อัลตราซาวน์เพื่อดูลักษณะโครงสร้าง
และอาจมีการตรวจพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามาด้วย ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
หากไขมันที่พอกตับเกิดขึ้นจากการดื่มสุรา ผู้ป่วยจะต้องเลิกดื่มสุราอย่างเด็ดขาด
แพทย์จะมีการให้ยาลดไขมันร่วมด้วย เพื่อใช้รักษาโรคที่เป็นสาเหตุ
มีการให้ยาที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับ ช่วยให้เกิดการไหลเวียนเลือดในตับ
มีการเสริมวิตามินอีเพื่อกำจัดไขมันส่วนเกิน โดยผู้ป่วยจะต้องควบคุมน้ำหนัก
กินอาหารตามคำแนะนำของแพทย์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
Photo Credit : medscape.com
ตามปกติ โรคไขมันพอกตับ มักจะไม่ค่อยตรวจพบได้ในช่วงระยะแรกที่เป็น เนื่องจากจะไม่มีอาการปรากฏให้เห็น
การรักษาแพทย์จึงต้องดูว่า อาการของโรคลุกลามไปถึงระยะไหนแล้ว หากเป็นเพียงระยะที่มีไขมันพอก ก็จะทำการรักษาให้ตับกลับมาทำงานได้ตามปกติ
แต่หากอาการรุนแรงมีการอักเสบ ตับบวมโต เข้าสู่ภาวะตับแข็งแล้ว อาจจะต้องใช้วิธีการรักษาที่ซับซ้อนมากขึ้น
และผู้ป่วยก็จะไม่สามารถกลับมาหายเป็นปกติได้ดังเดิม จะใช้ยาประคับประคองอาการ และดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้มีคุณภาพชีวิตที่เป็นปกติสุขต่อไปได้