โรคกลัวอ้วน ค่านิยมตามสังคมสมัยใหม่ที่แฝงอันตรายมากกว่าที่คิด !

โรคกลัวอ้วน

โรคกลัวอ้วน เป็นอีกหนึ่งโรคที่ผู้หญิงบางกลุ่มเป็นกันไม่น้อย เนื่องจากกลัวว่าอ้วนแล้วจะไม่สวย จะทำให้หมดความมั่นใจในการเข้าสังคม และอีกมากมาย

ดังนั้น ผู้ป่วยโรคนี้จึงมักจะมีพฤติกรรมการอดอาหารบ่อยๆ หรือกินอาหารไปแล้วก็จะต้องทำให้อาหารขับออกมาจากร่างกาย

เราไปดูกันเพิ่มเติมดีกว่านะคะว่า โรคกล้วอ้วนคืออะไร อันตรายหรือไม่ มีวิธีรักษาป้องกันอย่างไร ไปติดตามกันเลยค่ะ

โรคกลัวอ้วน คืออะไร?

โรคกลัวอ้วน (Anorexia Nervosa) คือ โรคที่มีความเกี่ยวข้องกับจิตวิทยา โดยจะทำให้ผู้ป่วยมีภาวะเบื่ออาหาร มีพฤติกรรมอดอาหาร

และเป็นปัญหาสำคัญที่จะทำให้การใช้ชีวิตนั้นเป็นไปได้ด้วยความลำบาก ที่สำคัญจะทำให้ผู้ป่วยมีน้ำหนักที่ต่ำมากกว่ามาตรฐานเมื่อเทียบกับความสูงของร่างกาย

ซึ่งผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ก็จะมีความรู้สึกว่าตัวเองอ้วนอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงต้องหาวิธีกำจัดน้ำหนักหลังจากรับประทานอาหารอยู่บ่อยๆ เพื่อให้ตัวเองผอม

โรคกลัวอ้วนมีกี่ประเภท?

โรคกลัวอ้วน ในปัจจุบันพบอยู่ 2 ประเภท โดยสามารถอธิบายได้ดังนี้

1.ประเภทที่จะต้องคอยเอาออกให้เท่ากับกิน (Binge-Eating/Purging Type)

ผู้ป่วยโรคกลัวอ้วนประเภทนี้จะมีการกินที่มากกว่าคนปกติ แต่จะเป็นเฉพาะในช่วงที่เริ่มมีอาการเท่านั้น และเมื่อกินเข้าไปมากกว่าปกติ

เมื่อตอนเอาอาหารออกก็จะต้องเอาออกมากกว่าปกติเช่นเดียวกัน ซึ่งจะมีวิธีเอาออกมากมายไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาถ่าย อาเจียน หรือแม้กระทั่งการสวนเอาอุจจาระออก

2.ประเภทแบบจำกัด (Restricting Type)

เป็นประเภทที่ผู้ป่วยจะจำกัดการรับประทานอาหาร รวมถึงเลือกรับประทานอาหารที่มีพลังงานต่ำ แต่จะแตกต่างกับแบบแรกคือ จะรับประทานในปริมาณที่น้อย แต่จะพยายามเอาออกให้เหมือนกัน

สาเหตุของโรคกลัวอ้วน

สาเหตุของโรคกลัวอ้วนสามารถที่จะเกิดได้ในหลายๆ ด้าน ดังนี้

1.สภาพแวดล้อม

หากจะให้พูดถึงสภาพแวดล้อมสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ เช่น

  • การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนของช่วงวัยรุ่น
  • ความเครียดที่มาจากการทำงานหรือการเรียน
  • ปัญหาภายในครอบครัว
  • โดนกลั่นแกล้ง
  • การตกงาน

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุที่เกิดได้จากสภาพแวดล้อมจนส่งผลถึงโรคกลัวอ้วน และไม่เพียงเท่านั้น ถ้าหากว่าอยู่ในสังคมที่จำเป็นต้องใช้รูปร่างในการเข้าสังคม

หรืออาจจะต้องเป็นการปรับเปลี่ยนบุคลิก ก็จะทำให้บางคนอาจจะรู้สึกเหมือนถูกจำกัดการใช้ชีวิตมากจนเกินไป

ดังนั้น การหันมาจำกัดการรับประทานอาหาร ก็ถือเป็นการที่จะได้ออกนอกกรอบเพื่อควบคุมร่างกายของตัวเองได้

หรือจะเรียกว่าเป็นการเพิ่มอิสระให้แก่ตนเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นสาเหตุได้เช่นเดียวกัน

2.ชีวภาพ

ถึงแม้จะยังไม่สามารถที่จะยืนยันได้อย่างชัดเจน แต่ก็ยังมีการวิจัยออกมาอยู่ตลอดในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม โดยสามารถส่งผลต่อการทำให้เกิดโรคกลัวอ้วน

หรือสำหรับบางรายอาจจะเป็นเพราะความไม่สมดุลของสารเคมีที่มีอยู่ในสมอง ที่เป็นส่วนสำคัญในการใช้เพื่อการควบคุมการย่อยอาหารรวมทั้งความหิว

3.จิตวิทยา

โรคกลัวอ้วนมีความเกี่ยวข้องจากสาเหตุที่มาจากทางจิต โดยบางคนอาจจะมีบุคลิกภาพแบบผิดปกติ หรือเรียกได้ว่ามีความเป็นเพอร์เฟคชั่นนิส จึงสามารถที่จะยอมอดอาหารเพื่อดูแลรูปร่างให้ผอมอยู่ตลอดเวลา

4.พันธุศาสตร์

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในยีน สามารถที่จะทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร และหากผู้ป่วยมีคนในครอบครัวที่มีภาวะความผิดปกติของยีน ก็จะทำให้เกิดความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคกลัวอ้วนได้เช่นเดียวกัน

5.พฤติกรรมการอดอาหาร

สำหรับพฤติกรรมการอดอาหาร มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการจดจำพฤติกรรมเอาไว้ ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลต่ออารมณ์

เพราะฉะนั้น ก็จะทำให้เกิดเป็นความกังวลมากขึ้น และจะส่งผลต่อการลดความอยากอาหาร เพราะเมื่อสมองจดจำพฤติกรรมอดอาหารจากความกังวล ก็จะทำให้การรักษายากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง

6.การเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลงสามารถที่จะส่งผลต่อการเป็นโรคอ้วนได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากทำให้เกิดความกังวลและกดดัน

ดังนั้น จึงทำให้เกิดอาการไม่อยากอาหาร และความเครียดขึ้นพร้อมๆ กัน โดยเหตุการณ์ที่ส่งผล เช่น การเปลี่ยนที่ทำงาน เปลี่ยนที่เรียน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่สามารถที่ส่งผลได้ทั้งหมด

อาการของโรคกลัวอ้วน

สำหรับอาการของโรคกลัวอ้วน เป็นสิ่งที่ยากมากพอสมควรในการที่จะสังเกตว่ามีอาการอะไรบ้างที่เกิดขึ้นโดยตรง

แต่ทั้งนี้ก็ยังมีบางอาการที่เป็นปัจจัยร่วมของการแสดงออกเมื่อเป็นโรคกลัวอ้วน โดยสามารถสังเกตได้ ดังนี้

อาการทางร่างกาย

เป็นอาการที่อาจจะมองเห็นได้ชัด คือ อาการเบื่ออาหารที่จะมีให้พบมากยิ่งขึ้น และอาการอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วย คือ

  • เวียนศีรษะ
  • แพ้ของเย็นๆ
  • มีการเต้นของจังหวะหัวใจที่ผิดปกติ
  • ความดันโลหิตต่ำ
  • นอนไม่หลับ
  • อาการเมื่อยล้า
  • อาการบวมของแขนหรือขา
  • จำนวนเม็ดเลือดผิดปกติ

อาการทางอารมณ์/พฤติกรรม

โดยอาจจะมีอารมณ์หรือพฤติกรรมที่พยายามจะใช้เพื่อการลดน้ำหนัก แต่ทั้งนี้ ยังมีอาการอื่นๆ ที่เกิดขึ้นได้อีก คือ

  • ไม่เข้าสังคม
  • หงุดหงิด
  • ไม่มีความต้องการทางเพศ
  • ปฏิเสธการรับประทานอาหาร
  • วิตกกังวลว่าน้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้น
  • ไม่กินอาหารในพื้นที่สาธารณะ
  • เลือกอาหารไขมันต่ำ

ภาวะแทรกซ้อนโรคกลัวอ้วน

สำหรับภาวะแทรกซ้อนของโรคกลัวอ้วนนั้น สามารถที่จะเกดขึ้นได้กับในทุกส่วนของร่างกาย โดยมีดังนี้

1.ปัญหาหัวใจ เป็นปัญหาที่มีระดับความดันโลหิตต่ำ ซึ่งส่งผลทำให้อัตราการเต้นของหัวใจต่ำตามไปด้วย และสามารถที่จะสร้างความเสียหายให้กับกล้ามเนื้อหัวใจได้ด้วยนั่นเอง

2.ปัญหาเลือด นอกจากจะส่งผลต่อหัวใจแล้ว ภาวะแทรกซ้อนสามารถที่จะส่งผลต่อหลอดเลือด โดยจะทำให้มีปริมาณเม็ดเลือดขาวต่ำลง

3.ภาวะไตเสื่อม ทำให้ร่างกายเกิดการคายน้ำ ส่งผลทำให้ภายในปัสสาวะมีความเข้มข้นสูงกว่าปกติ

4.ปัญหาระบบทางเดินอาหาร สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้สำหรับระบบทางเดินอาหาร คือ ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวได้ช้า ส่งผลทำให้อยากกินอาหารน้อยลง

5.ระดับฮอร์โมน โดยจะทำให้เกิดการลดระดับของฮอร์โมนที่จะใช้สำหรับการเจริญเติบโต

6.ภาวะกระดูกหักง่าย ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องมาจากระดับฮอร์โมนที่กลายเป็นภาวะแทรกซ้อน

โดยหากกระดูกไม่สามารถเจริญเติบโตได้เต็มที่ ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน รวมถึงการสูญเสียมวลกระดูก

การวินิจฉัยโรคกลัวอ้วน

สำหรับการวินิจฉัยโรคกลัวอ้วนถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่จะช่วยหาความแม่นยำของโรคให้ได้มากยิ่งขึ้น โดยลำดับแรกแพทย์จะเริ่มจากการสอบถามอาการที่เกิดขึ้น

รวมถึงการซักประวัติ นอกจากนี้ แพทย์อาจจะต้องมีการวินิจฉัยเพิ่มเติม เนื่องจากอาการเบื่ออาหารสามารถที่จะเป็นโรคอื่นๆ ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น

  • โรคเบาหวาน
  • โรคลำไส้อักเสบ
  • โรค HIV
  • ภาวะติดเชื้อเรื้อรัง
  • โรคมะเร็ง

สำหรับการตรวจอาการเหล่านี้จะต้องใช้การตรวจเลือด การสแกนภาพ และการตรวจผ่านคลื่นไฟฟ้า รวมถึงยังต้องมีการตรวจเพื่อหาผลลัพธ์จากการตรวจผ่านห้องปฏิบัติการ โดยมีดังนี้

  • การตรวจร่างกายโดยทั่วไป
  • การตรวจชีพจร
  • การตรวจสอบสภาพผิวและเล็บ
  • การตรวจบริเวณหน้าท้อง
  • การวัดอุณหภูมิ
  • การตรวจความสมบูรณ์ของเลือด (CBC)
  • การตรวจอิเล็กโทรไลต์และโปรตีนภายในเลือด
  • การตรวจการทำงานของตับและไต
  • การตรวจต่อมไทรอยด์
  • การตรวจปัสสาวะ

ซึ่งวิธีที่กล่าวมา ล้วนถือเป็นวิธีในการตรวจเบื้องต้นเกี่ยวกับร่างกายเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการตรวจทางจิตวิทยา

โดยอาจจะต้องมีการกรอกแบบสอบถามประเมินตนเอง เพื่อที่จะดูในส่วนของความรู้สึก นิสัย และพฤติกรรมการรับประทานอาหาร

วิธีรักษาโรคกลัวอ้วน

โดยทั่วไป ในการรักษาโรคกลัวอ้วน อาจจะต้องใช้วิธีรักษาผ่านทางสุขภาพจิตร่วมด้วย โดยมีวิธีในการรักษาต่างๆ ดังนี้

1.การรักษากับทางโรงพยาบาล

การรักษาโรคกลัวอ้วนกับทางโรงพยาบาลหรือทางการแพทย์ แพทย์จะต้องมีการตรวจหาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น และป้องกันความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายไปมากกว่าเดิม

โดยจะทำการรักษาไปตามอาการหรือภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะการขาดสารอาหาร และการปฏิเสธรับประทานอาหาร

2.การรักษาด้วยนักโภชนาการ

ซึ่งจะมีความสอดคล้องกับรูปแบบแรก เพราะเนื่องจากนักโภชนาการจะต้องมีการปรึกษากับแพทย์ เพื่อที่จะใช้ในการเลือกอาหารให้เหมาะสม

แต่ทั้งนี้ ก็อาจจะต้องมีการใช้กิจกรรมอื่นๆ เข้ามาช่วยพัฒนาพฤติกรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะสามารถทำให้กลับไปรับประทานอาหารได้อย่างเป็นปกติ

3.การรักษาด้วยครอบครัว

หรือจะเรียกได้ว่าเป็นการใช้ครอบครัวบำบัด เพราะผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการเบื่ออาหารจนไม่สามารถรับประทานอาหารได้

เพราะฉะนั้น ก็อาจจะต้องให้พ่อแม่หรือคนในครอบครัวช่วยกันรักษา โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน

โดยอาจจะต้องสนับสนุนให้ผู้ป่วยหันมากินอาหารมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงความเชื่อที่ส่งผลต่อโรคกลัวอ้วนได้

4.การรักษาด้วยยา

การรักษาด้วยยาอาจจะไม่มียาเฉพาะ ดังนั้น การรักษาโรคกลัวอ้วน แพทย์อาจจะต้องให้ยารักษา

ซึ่งเป็นยาชนิดเดียวกันกับยาโรคซึมเศร้า เพื่อบำบัดอาการทางจิตของผู้ป่วยให้กลับมาเป็นปกติมากขึ้น

วิธีป้องกันโรคกลัวอ้วน

สำหรับวิธีป้องกันโรคกลัวอ้วน สามารถที่จะทำได้ ดังนี้

เรียนรู้วิธีออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายเป็นวิธีที่จะทำให้ได้เผาผลาญไขมัน โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องของไขมันสะสม

ทัศนคติบวก การมีทัศนะคติที่ดีต่อรูปร่างเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากจะทำให้พึงพอใจในรูปร่างที่มี และไม่ต้องฝืนเพื่อให้ได้รูปร่างแบบคนอื่น

เลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ แนะนำสำหรับผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย เพราะอาหารเพื่อสุขภาพ

เป็นอาหารที่จะต้องจำกัดปริมาณไขมัน เพื่อลดการสะสมไขมันภายในร่างกาย อันเป็นสาเหตุของความอ้วน

ไม่ใช้อาหารเป็นของต่อรอง ไม่ว่าจะมีเรื่องดีใจหรือเสียใจ ก็ไม่ควรที่จะให้รางวัลตัวเองหรือทำโทษตัวเองด้วยการอดอาหาร

ไม่ใส่ใจสังคมมากเกินไป บางคนมักจะมองว่าสังคมมักจะต้องการคนรูปร่างดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว

ขอเพียงแค่มั่นใจในรูปร่างของตนเอง และเคารพตัวเองให้มากพอ การเข้าสังคมก็จะไม่ใช่เรื่องน่ากังวล

Credit : changnoye.blogspot.com

โรคกลัวอ้วน ถึงแม้จะมีปัจจัยที่เกิดได้จากสังคมโดยรอบ แต่หากรู้วิธีจัดการก็จะสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคได้

โดยผู้ป่วยจะต้องรีบหาวิธีในการรักษา ซึ่งเพียงกินอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพียงแค่นี้ก็จะทำให้รูปร่างดี

ไม่อ้วน ร่างกายไม่ขาดสารอาหาร และจะทำให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ ห่างไกลจากโรคกลัวอ้วนได้อย่างแน่นอน