โรคเบลพาซี่ เป็นอีกหนึ่งโรคที่น่ากังวลเป็นอย่างมากสำหรับคนอายุ 40 ปีขึ้นไป และสามารถสร้างความเสี่ยงให้กับ ผู้สูงอายุ ได้ด้วยเช่นกัน
ถือเป็นอีกหนึ่งโรคพื้นฐานที่จะต้องรู้และทำความเข้าใจ เราไปดูกันว่า โรคเบลพาซี่ คืออะไร อันตรายสำหรับ คนวัย 40 และคนสูงอายุอย่างไรบ้าง จะมีวิธีการไหนรับมือป้องกันได้ ไปดูกันเลยค่ะ
โรคเบลพาซี่ คืออะไร?
โรคเบลพาซี่ (Bell’s palsy) หรือ โรคอัมพาตเบลล์ ที่รู้จักกันดีใน ชื่อ โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของเส้นประสาทบนใบหน้า
โดยเส้นประสาทบนใบหน้าจะเกิดการบวมเป็นบางจุด ซึ่งเส้นประสาทที่เกิดความผิดปกติ คือ เส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้า
จึงจะทำให้ใบหน้าเบี้ยว แต่ภาวะที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น อาการนี้สามารถเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อส่วนอื่นของร่างกายด้วยเช่นเดียวกัน
สาเหตุของโรคเบลพาซี่
สำหรับสาเหตุของโรคเบลพาซี่ ยังไม่สามารถที่จะบอกสาเหตุของโรคที่ชัดเจนได้ แต่สำหรับสาเหตุที่ทางการแพทย์มีอยู่ในปัจจุบันถือเป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นจากการสันนิษฐาน โดยสาเหตุเหล่านั้นมีดังนี้
การติดเชื้อ : การติดเชื้อถือเป็นสาเหตุหลักที่เกิดจากการสันนิษฐานที่ทำให้เป็นโรคเบลพาซี่ โดยผู้ป่วยสามารถที่จะติดเชื้อได้หลากหลายชนิด
เชื้อไวรัสเหล่านี้สามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอและปลายประสาทอักเสบได้ง่ายจึงไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อได้เช่นเดียวกัน โดยเชื้อไวรัสมีดังนี้
- เชื้อ chickenpox and shingles virus (ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสและโรคงูสวัด)
- เชื้อ coldsores and genital herpes virus (ชนิดเดียวกันกับการทำให้เกิดโรคเริมที่อวัยวะเพศ)
- เชื้อ Epstein-Barr virus (เมื่อเป็นไข้จะทำให้ต่อมภายในร่างกายโตหรือบวมมากยิ่งขึ้น เช่น ต่อมทอนซิล)
- เชื้อ cytomegalovirus (ทำให้เกิดโรคเริม)
- เชื้อ mumps virus (ทำให้เกิดโรคคางทูม)
- เชื้อ influenza B (ทำให้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B)
- เชื้อ coxsackievirus (ทำให้เกิดโรค มือ เท้า ปาก)
ความเครียด : ความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเบลพาซี่ โดยความเครียดนั้นสามารถที่จะเกิดได้จากหลากหลายรูปแบบ
เช่น ความเครียดจากที่ทำงาน ความเครียดจากการเข้าสังคม ซึ่งความเครียดเหล่านี้ที่เกิดขึ้นจะไม่เพียงแค่ส่งผลต่อสภาพจิตใจและความรู้สึกเท่านั้น
เพราะยังส่งผลต่อร่างกายความเครียดจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายต่ำลง และสามารถทำให้เชื้อโรคเข้าไปทำลายระบบประสาทจนทำงานผิดปกติได้
โรคประจำตัว : โรคประจำตัวหลายๆ โรคสามารถส่งผลทำให้ร่างกายเป็นโรคเบลพาซีได้ อย่างเช่น โรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดสมองตีบ
การเสริมความงาม : เป็นอีกสาเหตุที่สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิง โดยเฉพาะการเสริมความงามในรูปแบบของการฉีดหน้า
หรือเป็นการกระตุ้นเส้นประสาทและกล้ามเนื้อบนใบหน้า จะทำให้ปลายประสาทเกิดการอักเสบและไม่สามารถควบคุมได้
ไม่ใช่เพียงแค่การฉีดสารต่างๆ บนใบหน้าเท่านั้น แม้แต่การผ่าตัดก็สามารถส่งผลกระทบต่อปลายประสาทได้เช่นกัน
อาการของโรคเบลพาซี่
สำหรับอาการของโรคเบลพาซี่ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดขึ้นโดยที่ไม่ได้ตั้งตัวและมักจะเกิดขึ้นในตอนเช้า โดยอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้น มีดังนี้
- ไม่สามารถหลับตาได้
- ใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งไม่สามารถขยับได้
- ตาแห้ง
- ปากเบี้ยว จนไม่สามารถที่จะดื่มน้ำได้ หรือทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับปากได้แม้แต่อย่างเดียว
- พูดไม่ชัด
- ปวดศีรษะ
- ปวดหู
- ปวดขากรรไกร
การวินิจฉัยโรคเบลพาซี่
สำหรับการวินิจฉัยโรคเบลพาซี่นั้น ทางการแพทย์ก็พอจะมีกระบวนการวินิจฉัยโรคนี้แบบโดยเฉพาะได้ เพื่อที่จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรค โดยมีวิธีวินิจฉัยดังนี้
การซักประวัติ : เป็นวิธีพื้นฐานของการวินิจฉัยโรค ถ้าจะต้องมีการตรวจสอบประวัติของผู้ป่วยโรคเบลพาซี่อย่างละเอียด รวมถึงพฤติกรรมในการใช้ชีวิตว่ามีความเสี่ยงในการที่จะทำให้เกิดโรคนี้หรือไม่
การตรวจโรค : การตรวจโรคอื่นๆ จะช่วยทำให้การวินิจฉัยโรคเบลพาซี่เป็นไปง่ายขึ้น เพราะโรคนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายโรค
เช่น เนื้องอก โรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งล้วนเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทบนใบหน้าได้มาก
การตรวจร่างกาย : แพทย์จะทำการตรวจร่างกายบริเวณศีรษะ คอ และหู ซึ่งเป็นการตรวจเส้นประสาทบริเวณนั้นๆ รวมถึงกล้ามเนื้อบริเวณนั้นเช่นกัน
การตรวจ EMG (Electromyography) : เป็นการตรวจด้วยคลื่นไฟฟ้า เพื่อเป็นการตรวจวัดเส้นประสาทและกล้ามเนื้อบริเวณนั้นว่าเกิดความเสียหายหรือไม่
การตรวจ MRI และ CT Scan : เป็นการตรวจเพื่อที่จะหาสาเหตุของการเป็นโรคเบลพาซี่ โดยส่วนใหญ่แล้วจะเลือกใช้วิธีนี้ในการตรวจ
เมื่อพบว่าอาการที่เป็นคล้ายกับการติดเชื้อแบคทีเรีย กะโหลกศีรษะแตก หรืออาจจะมีเนื้องอกในสมอง ซึ่งวิธีตรวจรูปแบบนี้จะช่วยวินิจฉัยได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
วิธีรักษาโรคเบลพาซี่
สำหรับวิธีรักษาโรคเบลพาซี่สามารถรักษาให้หายได้ แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ 1-2 เดือน
เพื่อเป็นการฟื้นฟูระบบประสาทและกล้ามเนื้อบนใบหน้า ให้สามารถทำงานได้ตามปกติ ดังนี้
1.การใช้ยา การใช้ยาถือเป็นหนึ่งในทางเลือกของการรักษาที่แพทย์ส่วนใหญ่มักจะใช้กับผู้ป่วย โดยการใช้ยาเป็นทางเลือกสำหรับการรักษา
แพทย์จะจ่ายยาสเตียรอยด์ แต่จะอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกายไม่มากหรือน้อยจนเกินไป โดยยาสเตียรอยด์ที่แพทย์จะทำการจ่ายให้กับผู้ป่วยมีดังนี้
ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) : เป็นยาที่จะช่วยต้านการอักเสบและช่วยลดอาการบวมที่เส้นประสาทบนใบหน้า แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาหลายวันในการรักษา
ยาต้านไวรัส (antiviral) : เป็นยาอีกหนึ่งชนิดที่จะได้รับการจ่ายมาจากแพทย์ แต่อาจจะไม่ได้มีประสิทธิภาพในการรักษาได้มาก
ยาเพรดนิโซโลน (prednisolone) : เป็นยาต้านการอักเสบอีกชนิด แต่จะช่วยในการฟื้นตัวของระบบเส้นประสาทของใบหน้า
และยังช่วยร่างกายยับยั้งสารที่จะทำให้เกิดการอักเสบ คือ prostaglandins และ leukotrienes
อย่างไรก็ตาม การใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษาโรคเบลพาซี่ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในปริมาณน้อย แต่ร่างกายของแต่ละคน
จะมีภูมิต้านทานที่แตกต่างกัน ย่อมทำให้เกิดปัญหาในการรับยาได้ หรือจะเรียกได้ว่าเป็นผลข้างเคียงจากการได้รับยา เช่น
- ผิวแห้ง
- นอนหลับยาก
- เวียนศีรษะ
- อารมณ์แปรปรวน
- คลื่นไส้
- เหนื่อยง่าย
2.การกายภาพบำบัด สำหรับการกายภาพบำบัดเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษา โดยเป็นการบริหารหน้าอย่างหนึ่ง
ซึ่งอาจจะต้องใช้การนวดเพื่อเป็นการบำบัดกล้ามเนื้อที่เกิดภาวะอัมพาตชั่วคราว สำหรับการนวดนั้นจะต้องมีการใช้น้ำมันหอมระเหย
เพื่อช่วยคลายเครียดให้กับผู้ป่วยและเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้มากยิ่งขึ้น
3.การรับประทานอาหาร การรับประทานอาหารเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คล้ายกับการปรับพฤติกรรมของผู้ป่วย
แต่จะต้องเลือกรับประทานอาหารที่เน้นช่วยต้านการอักเสบ เช่น การเลือกรับประทานวิตามินบี 12 เพราะจะช่วยต้านการอักเสบได้นั่นเอง นอกจากนี้
ยังมีอาหารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 พริก กระเทียม และขมิ้นชัน ซึ่งล้วนเป็นอาหารที่มีส่วนประกอบของสารต้านการอักเสบปริมาณมาก
4.การผ่าตัด การผ่าตัดถือเป็นทางเลือกสุดท้ายในการรักษาโรคเบลพาซี่ เพราะต้องทำการผ่าตัดบนใบหน้า
และเสี่ยงกระทบต่อระบบประสาทการได้ยิน ซึ่งสามารถที่จะทำให้เกิดการสูญเสียการได้ยินแบบถาวร ถ้าหากเกิดข้อผิดพลาดในการผ่าตัด
แต่อาจจะต้องเลือกใช้การผ่าตัดสำหรับผู้ป่วยบางราย ซึ่งจะต้องทำการปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด
วิธีป้องกันโรคเบลพาซี่
สำหรับโรคเบลพาซี่นั้นสามารถที่จะทำได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคเบลพาซี่ โดยมีวิธีในการป้องกันโรคเบลพาซี่ ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- พยายามกำจัดความเครียด
- ฝึกออกกำลังกาย แต่ควรเป็นการออกกำลังกายที่ไม่หนักจนเกินไป และยังสามารถที่จะช่วยผ่อนคลายความเครียดได้
Credit : dek-d.com
โรคเบลพาซี่ แม้คนเราจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้ง่าย แต่ก็สามารถที่จะรักษาให้ดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม การหมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
หลีกเลี่ยงปัจจัยในการเกิดโรค ก็ย่อมทำให้โอกาสในการเกิดโรคนี้น้อยลงแน่นอน และหากพบความผิดปกติก็ควรพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาอย่างทันที