ภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดของผู้สูงอายุ สามารถเกิดขึ้นโดยที่ผู้สูงอายุไม่รู้ตัวจนกว่าอาการจะแสดงออก
ดังนั้น เพื่อเป็นการเตือนผู้สูงอายุให้รู้เท่าทันภาวะอาการดังกล่าว คนดูแลใกล้ชิดก็จำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจกับภาวะนี้กันแต่เนิ่นๆ ด้วยเช่นเดียวกัน
เพื่อคอยให้ความรู้แก่ผู้สูงอายุที่คุณดูแล และเพื่อคอยเฝ้าสังเกตอาการร่วมด้วย โดยเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดของผู้สูงอายุก็มีดังนี้
- ภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดของผู้สูงอายุ คืออะไร?
- สาเหตุของภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดของผู้สูงอายุ มีอะไรบ้าง?
- โรคที่มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดของผู้สูงอายุ
- ภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือด มีกี่ชนิด มีอะไรบ้าง?
- ภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดในผู้สูงอายุ มีอาการอย่างไร?
- การวินิจฉัย
- วิธีรักษาภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดของผู้สูงอายุ
- วิธีป้องกันภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดของผู้สูงอายุ
ภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดของผู้สูงอายุ คืออะไร?
ภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดของผู้สูงอายุ (Angina) คือ ภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้รับเลือดอย่างเพียงพอ
ซึ่งไม่ได้มีผลแค่ในเรื่องของเลือดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะสามารถที่จะส่งผลต่อการลำเลียงออกซิเจนไปยังอวัยวะอื่นๆ
ซึ่งในการขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจเป็นผลอันตราย เนื่องจากจะทำให้หัวใจเสื่อมสภาพได้อย่างรวดเร็วและที่สำคัญยังสามารถส่งผลต่อการเสียชีวิตได้
สาเหตุของภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดของผู้สูงอายุ มีอะไรบ้าง?
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดของผู้สูงอายุสามารถเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ อย่างที่ทราบกันดีว่า
สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด เกิดจากการที่เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้เพียงพอ ซึ่งสามารถอธิบายสาเหตุเพิ่มเติมได้ดังนี้
1.ปัญหาช่องปาก (oral disease)
ช่องปากเป็นส่วนที่สามารถทำให้เชื้อโรคและแบคทีเรียสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อเป็นโรคเหงือก
ก็จะทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียภายในเหงือกและฟัน เมื่อรับประทานอาหารหรือกลืนน้ำลายก็จะทำให้แบคทีเรีย
สามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง ซึ่งแบคทีเรียที่เข้าสู่กระแสเลือดก็จะเติบโตอยู่กับคราบที่มีการสะสมภายในหลอดเลือด
เช่น ไขมัน หลังจากนั้นก็จะส่งผลปฏิกิริยาทำให้เลือดเป็นลิ่ม จนเข้าไปอุดตันบริเวณหลอดเลือดทางเข้าหัวใจ
2.โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease)
สาเหตุจากการที่ไขมันเกาะตัวอยู่บริเวณผนังหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนเข้าสู่หัวใจได้อย่างเป็นปกติ
และกล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้รับเลือดในปริมาณที่เพียงพอ จนส่งผลทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย
3.ภาวะขาดออกซิเจนในเลือด (Hypoxia)
ภาวะที่ร่างกายมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าปริมาณของออกซิเจนในเลือด แต่การไหลเวียนเลือดภายในหัวใจยังเป็นปกติ
ก็จะเป็นการนำคาร์บอนไดออกไซด์ให้กับหัวใจ ดังนั้น เมื่อหัวใจไม่ได้รับออกซิเจนในเลือด ก็จะทำให้การทำงานมีความผิดปกติและส่งผลเสียหายต่อกล้ามเนื้อหัวใจ
โรคที่มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดของผู้สูงอายุ
โรคเบาหวาน : เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่ออินซูลิน ที่จะนำมาใช้เพื่อควบคุมระดับน้ำตาล น้ำตาลจึงเปลี่ยนรูปแบบกลายเป็นไขมัน
และทำให้ไขมันเหล่านี้ไปสะสมบริเวณหลอดเลือดและเกิดการอุดตันบริเวณทางเข้าหัวใจ หัวใจจึงได้รับเลือดไม่เพียงพอ
โรคความดันโลหิตสูง : เป็นโรคที่มีผลทำให้ระดับความดันโลหิตในร่างกายนั้นเพิ่มมากขึ้น จากการที่หัวใจจะต้องทำงานหนักขึ้น
ซึ่งเป็นการสร้างความเสียหายให้กับหลอดเลือด และเลือดส่งไปถึงหัวใจไม่เพียงพอ
ความเครียด : ความเครียดเป็นภาวะอารมณ์ที่จะทำให้เกิดการกระชากฮอร์โมน หลอดเลือดที่จะต้องมีการส่งผ่านฮอร์โมน
มีการบีบตัวอย่างรวดเร็วและจะทำให้หลอดเลือดบริเวณนั้นแคบลง ส่งผลทำให้เลือดไม่สามารถส่งไปถึงหัวใจได้
ภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือด มีกี่ชนิด มีอะไรบ้าง?
ภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดสามารถที่จะแบ่งได้ 5 ชนิด แต่ส่วนใหญ่มักจะรู้กันเพียงแค่ 2 ชนิด
โดยชนิดต่างๆ ล้วนเป็นสาเหตุเบื้องต้นที่ทำให้เกิดภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดได้ โดยสามารถอธิบายได้ดังนี้
1.ภาวะเจ็บหน้าอกแบบคงที่ (stable angina) : จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายต้องทำงานหนักกว่าปกติ อย่างเช่น การทำกิจกรรมโลดโผน
การออกกำลังกาย ซึ่งภาวะเจ็บหน้าอกแบบคงที่จะไม่มีอาการที่รุนแรงมากขึ้น และเพียงแค่หยุดการทำกิจกรรมเหล่านั้น อาการเจ็บก็จะหายไป
2.ภาวะเจ็บหน้าอกแบบไม่คงที่ (unstable angina) : เป็นชนิดที่สามารถทำให้เกิดภาวะหัวใจวายได้โดยเฉียบพลัน
ซึ่งจะมีสาเหตุคล้ายกับภาวะเจ็บหน้าอกแบบคงที่ โดยสามารถเกิดได้จากความเครียด ซึ่งเมื่อหยุดกิจกรรม หรือพยายามกำจัดความเครียด
อาการเจ็บหน้าอกก็จะยังไม่หายไปและอาจมีระดับที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น และสามารถส่งผลต่อภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้
3.ภาวะเจ็บหน้าอกแบบบีบเค้น (variant angina) : เป็นชนิดที่จะเกิดในระยะเวลาตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึง 8 โมงเช้า
และเป็นชนิดที่ไม่สามารถเดาสาเหตุที่จะเกิดได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วมีการวินิจฉัยว่า อาจจะเกิดจากการสะสมคราบจุลินทรีย์ของไขมันในหลอดเลือด
และอาจจะเกิดจากการที่กล้ามเนื้อหลอดเลือดกระตุกจนทำให้เกิดภาวะดังกล่าว
4.ภาวะเจ็บหน้าอกแบบกลุ่ม x (Syndrome X microvascular angina) : ภาวะเจ็บหน้าอกที่เกิดขึ้นบริเวณเส้นเลือดที่มีขนาดเล็ก
และส่งตรงถึงหัวใจ แต่อาจจะเป็นเพียงแค่ที่เส้นเลือดขนาดเล็กแปลหลอดเลือดใหญ่ที่ส่งตรงเข้าสู่หัวใจจะไม่ได้รับผลกระทบ ซึ่งก็เป็นภาวะที่ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกได้เล็กน้อย
5.ภาวะเจ็บหน้าอกแบบคลุมเครือ (atypical angina) : เป็นภาวะที่ยังไม่สามารถยืนยันได้โดยตรงว่าเป็นภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือด
แต่จะทำให้มีอาการเหนื่อยง่าย และอึดอัดบริเวณหน้าอก รวมถึงอาการปวดบริเวณหลังและคอ โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
ภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดในผู้สูงอายุ มีอาการอย่างไร?
อาการเหล่านี้คือ ภาวะอาการเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดในผู้สูงอายุ หากพบอาการเหล่านี้เกิดขึ้น แนะนำให้พบแพทย์เพื่อตรวจรักษาทันที
- อาการแน่นหน้าอก
- คลื่นไส้
- เหนื่อยง่าย
- หายใจถี่
- เหงื่อออกตลอด
- เวียนศีรษะ
การวินิจฉัย
แพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติของผู้ป่วยอย่างละเอียด รวมถึงการสอบถามอาการที่เกิดขึ้น
เพื่อเป็นการช่วยวินิจฉัยหาปัจจัยที่เป็นความเสี่ยง หลังจากนั้นแพทย์จะต้องการตรวจผ่านทางห้องปฏิบัติการด้วย ดังนี้
ตรวจด้วยคลื่นไฟฟ้า ECG (Electrocardiogram) : การตรวจจังหวะการเต้นของหัวใจผ่านแรงกระตุ้นของไฟฟ้า
และจะมีการบันทึกคลื่นไฟฟ้าที่ถูกส่งไปถึงหัวใจเพื่อเป็นการตรวจการไหลเวียนเลือดภายในหัวใจ
การตรวจสมรรถภาพหัวใจ (Stress test) : การตรวจสภาพหัวใจผ่านการออกกำลังกายและมีการวัดด้วยคลื่นไฟฟ้า เพื่อตรวจความสามารถในการทำงานของหัวใจ
แต่สำหรับผู้ที่ไม่สามารถออกกำลังกายเพื่อทำการตรวจแพทย์จะต้องมีการใช้สารกระตุ้นเพื่อทดสอบหัวใจทำงานหนักมากยิ่งขึ้น
คลื่นเสียง (Echocardiogram) : การตรวจผ่านเครื่องเสียงเพื่อสังเกตข้อเสียหายที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อหัวใจและการไหลเวียนของเลือด
การเอกซเรย์ (X-ray) : เป็นการตรวจหาสภาพหัวใจว่ามีความผิดปกติในเรื่องของขนาดหรือไม่
การทำ CT Scan : เป็นการสแกนเพื่อดูสภาพหัวใจ และหลอดเลือดของหัวใจว่ามีขนาดที่เล็กลงหรือขยายใหญ่มากยิ่งขึ้น
การทำ MRI : เป็นการสแกนเพื่อวินิจฉัยอีกรูปแบบในการตรวจสอบโครงสร้างของหัวใจและโครงสร้างของหลอดเลือดว่ามีความเสียหายส่วนใดหรือไม่
วิธีรักษาภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดของผู้สูงอายุ
สำหรับการรักษาภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือด แพทย์จะเน้นการรักษาอยู่ 2 วิธีคือ การรักษาด้วยยา และการผ่าตัด ดังนี้
1.การรักษาด้วยยา
ยาเป็นตัวช่วยในการรักษาสำคัญ แต่ขึ้นอยู่กับแพทย์จะวินิจฉัยเพื่อการจ่ายยาชนิดใด แต่ส่วนใหญ่จะมียาดังนี้
- ไนเตรท สามารถที่จะช่วยทำให้หลอดเลือดขยายตัว และสามารถทำให้เลือดไหลเวียนไปสู่กล้ามเนื้อหัวใจได้ดีมากยิ่งขึ้น
- ยาแอสไพริน เป็นยาที่จะช่วยลดการแข็งตัวของเลือดจึงทำให้เลือดสามารถไหลเวียนได้อย่างสะดวกและลดการอุดตันในหลอดเลือดลงได้
- ยาเบต้าบล็อกเกอร์ เป็นตัวช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากฮอร์โมนอะดรีนาลีน ซึ่งจะทำให้ระดับการเต้นของหัวใจช้าลง และช่วยลดระดับความดันโลหิต
2.การรักษาด้วยวิธีผ่าตัด
สำหรับผู้ป่วยบางรายการใช้ยารักษาอาจจะไม่ได้ผลดีเท่าที่ต้องการ ดังนั้น การผ่าตัดจึงเป็นทางเลือกที่ดี แต่จะต้องมีการปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด ซึ่งวิธีผ่าตัดที่ทำได้คือ
การขยายหลอดเลือดหัวใจ (angioplasty) : โดยจะเป็นการทำบอลลูนและการดามด้วยขดลวด ซึ่งเหมาะสำหรับกรณีที่หลอดเลือดหัวใจตีบ
ซึ่งเป็นการขยายหลอดเลือดหัวใจให้กว้างขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นภาวะหัวใจขาดเลือดแบบคงที่
การทำบายพาส (Bypass) : เป็นการผ่าตัดเพื่อเพิ่มช่องทางให้หลอดเลือดสามารถส่งเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้
โดยเป็นการเพิ่มหลอดเลือดที่จะส่งตรงถึงหัวใจ เพื่อให้เลือดเข้าไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้อย่างราบรื่น
วิธีป้องกันภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดของผู้สูงอายุ
วิธีป้องกันภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือด สามารถที่จะทำได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน
- หมั่นตรวจสุขภาพทุกปี
- กำจัดความเครียด
- หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
Credit : thaiseniormarket.com
ภาวะเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดของผู้สูงอายุ ถือเป็นภาวะที่อันตราย เพราะมีความเสี่ยงที่จะทำให้ผู้สูงอายุเสียชีวิตได้สูง
ดังนั้น หมั่นรักษาสุขภาพเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของภาวะดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นดีกว่า