รับมืออาการบวมน้ำของคนวัย 40 ปีขึ้นไป ภาวะที่หลายคนเข้าใจว่า “อ้วน”

อาการบวมน้ำ

อาการบวมน้ำ เป็นสิ่งที่สาววัย 40 ปีขึ้นไปมักจะกังวล เพราะอาจจะทำให้ดูอ้วนเหมือนกับการอ้วนด้วยไขมันทั่วไป

ซึ่งการลดภาวะบวมน้ำเราสามารถทำได้ไม่ยาก แต่ก่อนอื่นเราไปดูกันก่อนนะคะว่า อาการบวมน้ำ คืออะไร และมีวิธีรับมือแก้ไขอย่างไรบ้าง?

อาการบวมน้ำ คืออะไร?

อาการบวมน้ำ (edema) คือ ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมน้ำหรือน้ำเหลืองอยู่ในเนื้อเยื่อปริมาณมาก

จึงทำให้ร่างกายเกิดการบวมในแต่ละส่วน โดยบริเวณของร่างกายที่มักจะเกิดอาการบวมนั้น เช่น ข้อเท้า เท้า แขน และขา

โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการบวมน้ำส่วนใหญ่แล้วมักจะมาจากการนั่งนานๆ และอาจจะมาจากการใส่รองเท้าส้นสูงเป็นเวลานานเช่นกัน

สาเหตุของอาการบวมน้ำ

สำหรับสำหรับอาการบวมน้ำมีสาเหตุหลากหลาย ดังนี้

– นั่งหรืออยู่ในตำแหน่งเดิมๆ นานมากเกินไป

– รับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด ทำให้โซเดียมที่เป็นสารอุ้มน้ำในร่างกายมีปริมาณมาก และเกิดการสะสมของน้ำ จนทำให้เกิดภาวะตัวบวม

– หลอดเลือดติดเชื้อ ทำให้หลอดลือดอักเสบและเกิดการอุดตันของน้ำเหลือง

– การฉายรังสี

– การใช้ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง

วิธีลดอาการบวมน้ำ

สำหรับวิธีลดอาการบวมน้ำในคนอายุ 40 ขึ้นไป สามารถทำได้ดังนี้

1.จำกัดการทานเกลือ

เนื่องจากในปัจจุบันอาหารสำเร็จรูปถือเป็นทางเลือกของคนยุคใหม่ โดยเฉพาะคนวัยอายุ 40 ปีขึ้นไป เพราะความสะดวกสบาย หาทานง่าย

แต่อาหารดังกล่าวก็มักจะมีส่วนประกอบของเกลือในปริมาณมาก ซึ่งภายในเกลือมักจะมีส่วนประกอบของปริมาณโซเดียมสูง

สารโซเดียมเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วก็จะทำให้เนื้อเยื่อกักเก็บน้ำเข้าสู่ร่างกายปริมาณมาก โดยปกติแล้ว ร่างกายไม่ควรที่จะได้รับปริมาณของโซเดียมมากกว่า 2,300 มิลลิกรัม

หรือจะเรียกได้ว่าเป็นปริมาณเกลือ 1 ช้อนชา ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารที่มีโซเดียมต่ำ

ก็จะช่วยจำกัดปริมาณโซเดียมสู่ร่างกายไม่ให้มีมากเกินไป โดยมีเทคนิคในการทานดังนี้

ขนมถุง : ภายในขนมถุงหรือขนมกรุบกรอบสำเร็จรูป มักจะมีการใส่ผงชูรสในปริมาณมาก เมื่อทานเข้าไปก็จะทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมปริมาณสูง

อาหารแปรรูป : อาหารแปรรูปไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ควรที่จะต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นอาหารที่มีส่วนประกอบของเกลือในปริมาณมากเช่นเดียวกัน

เครื่องปรุง : เกลือหรือโซเดียมยังเป็นส่วนผสมหนึ่งในเครื่องปรุงอาหารหลากหลายชนิด วิธีหลีกเลี่ยงที่ง่ายที่สุด คือ ควรเลือกใช้สมุนไพรในการปรุงอาหาร

เพื่อเป็นการเพิ่มรสชาติแทนการใช้เครื่องปรุงทั่วไป หรือปรุงแต่งรสชาติให้น้อยลงกว่าปกติก็จะช่วยลดปริมาณโซเดียมในร่างกายลงได้แล้ว

2.ดื่มน้ำให้มากๆ

การดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอจะช่วยกำจัดของเหลวซึ่งเป็นของเสียในร่างกายให้ค่อยๆ หลุดออกไป

แน่นอนว่าโซเดียมในร่างกายที่มีอยู่ปริมาณมากก็ย่อมเจือจางลงตามไปด้วย และทำให้ร่างกายสามารถปรับสมดุลของน้ำ

ในปริมาณที่เหมาะสมได้ แนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตรต่อวัน ก็จะช่วยลดอาการบวมน้ำลงได้

3.สมดุลสารอาหาร

การรับประทานอาหารให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการของร่างกายถือเป็นเรื่องสำคัญ และควรเน้นอาหารที่มีสารช่วยลดการอักเสบ

และช่วยลดอาการบวมน้ำ โดยเลือกทานอาหารที่มีวิตามินบี ธาตุเหล็ก และกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งอาหารที่มีสารอาหารเหล่านี้ ได้แก่

  • ผักใบเขียว
  • ธัญพืช
  • ถั่วเปลือกแข็ง
  • ปลา
  • อาหารทะเล

4.เดินเพื่อขยับร่างกายให้เคลื่อนไหวบ่อยๆ

การเดินถือเป็นรูปแบบการออกกำลังกายอย่างหนึ่งที่สามารถช่วยให้ร่างกายได้ออกกำลังกายทุกส่วน ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต

และระบบน้ำเหลืองภายในร่างกาย ทำให้การระบายน้ำเหลืองหรือของเสียออกจากร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ไม่ทำให้เกิดการสะสมของน้ำไปตามเซลล์ต่างๆ

โดยอาจจะต้องแบ่งระยะเวลาเป็นเดินทุกชั่วโมง หรืออาจจะเป็นการเดินไปทำกิจกรรมต่างๆ อย่างเช่น การเติมน้ำ การส่งเอกสาร หรือเข้าห้องน้ำ

5.นวดบำบัด

การใช้วิธีบำบัดด้วยการนวดถือเป็นทางเลือกที่ดีให้กับผู้ที่ต้องการรักษาอาการบวมน้ำ เพราะการนวดเป็นอีกวิธีหนึ่ง

ที่จะกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งยังเป็นการช่วยระบายของเหลวทั้งหมดที่มีอยู่ในร่างกาย

ให้ค่อยๆ ถูกขับออกไปจนทำให้อาการบวมน้ำลดลง ซึ่งสามารถเข้ารับการนวดจากร้าน หรือจะนวดบำบัดด้วยตัวเองก็ได้เช่นกัน

แต่จะต้องนวดเข้าหาหัวใจเพื่อเป็นการระบายน้ำเหลืองในร่างกายให้ถูกขับออกไปได้อย่างถูกต้อง

6.การฝังเข็ม

การฝังเข็มเป็นวิธีแบบแพทย์แผนจีน ซึ่งจะต้องเลือกใช้บริการแพทย์ที่มีประสบการณ์ในด้านนี้โดยเฉพาะ

เนื่องจากการฝังเข็มจะต้องฝังไปตามจุดสำคัญของร่างกาย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับระบบประสาทและเส้นต่างๆ เพราะหากเกิดความผิดพลาดก็จะส่งผลอันตรายต่อร่างกายได้

อย่างไรก็ตาม การฝังเข็มก็ถือเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยระบายของเหลวในร่างกายให้สามารถไหลเวียนออกไปได้อย่างเหมาะสมและสมดุล

7.การดื่มชา

เทคนิคการดื่มชาเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยลดอาการบวมน้ำของร่างกายได้ เพราะเป็นการใช้พืชสมุนไพรเพื่อขับปัสสาวะ

และของเหลวส่วนเกินออกจากร่างกาย แต่การดื่มชาเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวนั้นจะต้องมีการปรึกษาแพทย์ก่อนอย่างละเอียด

เนื่องจากบางรายอาจจะมีอาการแพ้สมุนไพรบางชนิด โดยชาที่เหมาะจะใช้เพื่อการลดอาการบวมน้ำ เช่น

  • ชาแดนดิไลออน
  • ชาคาโมไมล์
  • ชากระวาน
  • ชาใบยี่หร่า
  • ชาผักชีฝรั่ง

8.ยกขาให้สูง

เนื่องจากขาถือเป็นส่วนที่เกิดการบวมได้ง่ายมากที่สุดจากการสะสมของของเหลวภายในร่างกาย ดังนั้น ควรที่จะต้องพาดขาให้สูงในขณะนอนหลับหรือนอนเล่น

โดยระดับความสูงของขาจะต้องสูงกว่าระดับหัวใจเพียงเล็กน้อย หรืออาจจะทำเพียงแค่ 30 นาที วันละ 3-4 ครั้ง

9.หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่

แอลกอฮอล์ บุหรี่ และเครื่องดื่มคาเฟอีน ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดภาวะบวมน้ำ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะทำให้ร่างกาย

ไม่สามารถขับของเหลวส่วนเกินออกไปได้อย่างเหมาะสม เพราะฉะนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มคาเฟอีน แอกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่

หรือลดปริมาณให้น้อยลงมากที่สุด ที่สำคัญควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ เพื่อชำระล้างของเสียให้หลุดออก และเพื่อช่วยปรับสมดุลของเหลวในร่างกายด้วยนั่นเอง

10.บำบัดด้วยน้ำ

วิธีการบำบัดด้วยน้ำอาจจะไม่ใช่เทคนิคลดอาการบวมน้ำที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยวิธีดังกล่าวจะเป็นการนวดที่คล้ายกับการนวดบำบัด

เพียงแต่จะใช้น้ำในการนวด ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำเหลืองและของเหลวภายในร่างกายได้เป็นอย่างดี

เนื่องจากเป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นและขยายหลอดเลือดน้ำเหลืองให้สามารถไหลเวียนได้ดีมากขึ้น ซึ่งการบำบัดด้วยน้ำจะต้องใช้น้ำเย็นในการเริ่มต้น

โดยไล่จากล่างขึ้นมาด้านบน (จากเท้าขึ้นมา) หลังจากนั้นจึงจะเปลี่ยนเป็นน้ำอุ่นค่อนร้อนเล็กน้อย โดยเริ่มจากด้านล่างขึ้นมาด้านบนเช่นเดียวกัน

หลังจากนั้นให้กลับไปใช้น้ำเย็นตามแบบวิธีเดิมอีกรอบ ก็จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำเหลืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Credit : wonjinthailand.com

ภาวะบวมน้ำ สามารถเกิดขึ้นไปกับคนทุกวัย แต่สำหรับ คนอายุ 40 ปี ขึ้นไป อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายก็เริ่มทำงานช้าลง

กระบวนการกำจัดของเสียก็พลอยทำงานช้าลงตามด้วยเช่นกัน ดังนั้น จึงควรใส่ใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง

โดยควรหลีกเลี่ยงการกินรสเค็มมากเกินไป ลดปริมาณการเกินเค็มให้น้อยลง กินผักผลไม้และดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้น

พร้อมหมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ ก็จะช่วยลดอาการบวมน้ำลงได้ และยังทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่ดูอ้วนอีกด้วย