ช็อกโกแลตซีส โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์หรือระบบภายในของผู้หญิงเป็นสิ่งที่มีความซับซ้อน บางครั้งมีอาการรุนแรงส่งสัญญาณบอกเราตั้งแต่เนิ่นๆ แต่บางโรคก็กว่าจะรู้ผล อาการก็รุนแรง ลุกลามมากขึ้นไปแล้ว
เนื้องอกชนิดหนึ่งที่มักถูกตรวจพบได้บ่อยในหญิงวัยเจริญพันธุ์ เรียกกันในชื่อว่า “ช็อกโกแลตซีส“ ที่ชื่อเหมือนจะดูไม่ค่อยอันตราย แต่หากปล่อยทิ้งไว้ มันกลับเป็นตัวการทำร้ายสุขภาพของสาวๆ ได้อย่างมากมายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นสาวโสด สาวแต่งงานแล้ว หรือสาวแก่ ก็ล้วนมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น
ดังนั้นเพื่อทำความเข้าใจ และพร้อมสำหรับการรับมือกับโรคนี้ ควรทำการศึกษาข้อมูลเรื่องของอาการที่น่าสังเกต
วิธีดูแลตัวเอง และการรักษาที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยไม่ให้ช็อกโกแลตซีสกลับมาเป็นซ้ำจนต้องเข้ารับการรักษาอยู่บ่อยๆ นั่นเองค่ะ
ช็อกโกแลตซีสต์ คืออะไร ?
ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst) เป็นถุงน้ำที่เกิดขึ้นภายในโพรงมดลูก แปลตามตัวก็คือถุงน้ำช็อกโกแลต
สำหรับทางการแพทย์จะเข้าใจกันว่าเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญเติบโตผิดตำแหน่ง (Endometriosis)
ส่งผลให้เลือดประจำเดือนไหลออกมาผิดปกติ จากเติมที่ไหลออกมาจากช่องคลอด แต่เมื่อเกิดโรคนี้ขึ้น
ประจำเดือนกลับไหลย้อนกลับขึ้นไปผ่านไปยังท่อรังไข่ โดยนำพาเอาเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกเข้าไปฝังตัวอยู่ที่อวัยวะภายใน
จนเกิดเป็นถุงน้ำสีคล้ำเข้มเหมือนช็อกโกแลตขึ้นมา ซึ่งพบได้มากที่บริเวณอุ้งเชิงกราน ท่อรังไข่ ช่องคลอด ลำไส้ และมดลูก เป็นต้น
อย่างไรก็ตามเราพบโรคนี้ได้บ่อยมากที่บริเวณรังไข่ เนื่องจากที่จุดนี้มีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง
เป็นแหล่งที่เหมาะสำหรับการเจริญเติบโต โดยที่เยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดเข้าไปจะแทรกผ่านกล้ามเนื้อมดลูก กลายเป็นพังผืดหรือก้อนขึ้นมาอยู่ภายในกล้ามเนื้อมดลูก
ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “Adenomyosis” ตามมาด้วยอาการยอดฮิตคือปวดท้องประจำเดือนอย่างหนัก และอาการปวดจะเป็นมากขึ้นจนต้องเข้าพบแพทย์กันเลยทีเดียว
ความเสี่ยงในการเกิดช็อกโกแลตซีสต์
ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคช็อกโกแลตซีสต์ สามารถพบได้ในกลุ่มผู้หญิงตั้งแต่ 15-45 ปี ซึ่งจะอยู่ในช่วงวัยที่ยังคงมีประจำเดือนมา แต่กระนั้นคนที่เป็นวัยหลังหมดประจำเดือนแล้ว
ก็ยังมีโอกาสเสี่ยงราวๆ ร้อยละ 5 ที่จะเกิดโรคนี้ขึ้นได้เช่นกัน และยังกลายเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้หญิงปัญหามีบุตรยากมากกว่าร้อยละ 30 ส่งผลกระทบต่อร่างกาย ประจำเดือนผิดปกติ และอาการปวดท้องอย่างรุนแรงด้วย
สาเหตุของการเกิดโรคช็อกโกแลตซีสต์
ดังที่กล่าวไปข้างต้นว่าทางการแพทย์เรียกว่าเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ลักษณะของถุงน้ำที่มีของเหลวอยู่ภายใน เจริญเติบโตในเนื้อเยื่อภายในรังไข่เป็นหลัก
ส่วนของเหลวมีสีคล้ายกับช็อกโกแลต ซึ่งมันก็คือกระเปาะถุงเลือด ภายหลังจากที่เลือดหยุดไหล จะมีการดูดน้ำกลับ ทำให้ภายในถุงมีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดที่ตกค้างอยู่ในถุงเป็นเวลานานๆ
1.การไหลย้อนกลับของเลือดประจำเดือน
ในการไหลย้อนกลับของเลือดประจำเดือน จะเกิดขึ้นในจังหวะที่มดลูกบีบตัว
แทนที่ประจำเดือนจะไหลออกช่องคลอด แต่กลับย้อนทิศทางกลับเข้ามาภายในผ่านท่อนำไข่แทน
ซึ่งเลือดดังกล่าวจะพัดพาเอาเยื่อบุโพรงมดลูกเข้ามาด้วย จากนั้นจะเข้าไปเกาะอยู่ตามส่วนต่างๆ ของช่องท้อง
ที่พบมากที่สุดคือรังไข่ ซึ่งอาจมีการเข้าไปเกาะอยู่บริเวณกระเพาะปัสสาวะได้อีกด้วยจึงเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
และกลายเป็นชื่อเรียกว่าช็อกโกแลตซีสต์ ที่มาจากการบีบตัวของมดลูกให้ประจำเดือนไหลออกมาผิดปกติ โดยมีสาเหตุหลักๆ ได้แก่
2.การเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์
การเจริญเติบโตของเยื่อบุโพรงมดลูกในตำแหน่งผิดที่เช่นนี้ แพทย์ยังเชื่อกันว่ามาจากการเจริญเติบโตของเด็กที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ (อ่านเพิ่มเติม : ปวดท้องน้อยรุนแรงช่วงมีประจำเดือน สัญญาณเตือนเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่)
บางเนื้อเยื่อที่แยกออกไป เจริญเติบโตผิดตำแหน่ง จะทำให้กลายเป็นช็อกโกแลตซีสต์ขึ้นมา
3.ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง
เนื่องจากโรคถุุงน้ำช็อกโกแลตซีสต์จะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นทุกๆ เดือนที่มีรอบเดือน
ถุงน้ำจะมีปริมาณเลือดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ขยายใหญ่ออก แต่ละคนจะมีระยะเวลาของโรคแตกต่างกันออกไป
บางคนถุงน้ำเกิดขึ้นอย่างช้าๆ แต่บางคนก็มีขนาดโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ซึ่งเชื่อกันว่ามาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแต่ละคนด้วยว่า มีการดูดน้ำกลับได้เร็วแค่ไหน หากดูดน้ำกลับได้เร็ว ก็จะช่วยให้ถุงน้ำโตขึ้นอย่างช้าๆ
อาการของช็อกโกแลตซีสต์
1.ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง บริเวณท้องน้อยในช่วงที่มีประจำเดือน ปวดร้าวตั้งแต่สะดือด้านหน้าลงไปถึงอุ้งเชิงกราน และยังลามไปถึงส่วนของหลัง เอว และก้นกบได้ด้วย
2.เมื่ออาการปวดประจำเดือนเกิดขึ้น จะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติอย่างมาก
เนื่องจากอาการปวดมีความรุนแรง ปวดจนทำให้บางคนท้องเสีย เป็นลม ท้องอืด
ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะเป็นเลือด เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ และปัสสาวะบ่อยมากขึ้น
3.เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงชนิดเฉียบพลันขึ้นมา เนื่องจากถุงน้ำช็อกโกแลตซีสต์แตก ในรายแบบนี้จะต้องรีบทำการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน
4.เกิดปัญหาภาวะมีบุตรยาก
การรักษาโรคช็อกแลตซีสต์
วิธีการรักษาจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ
1.การรักษาด้วยยา จะใช้ในกรณีที่ถุงน้ำมีขนาดยังไม่ใหญ่มากนัก ยังไม่ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย
จนกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน แพทย์จะให้ยาด้วยการฉีดเพื่อลดขนาดถุุงน้ำ
โดยจะมีทั้งที่เป็นยาฮอร์โมน และยาที่ไม่มีฮอร์โมน ผลข้างเคียงของยาที่พบได้คือภาวะน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น
2.การรักษาด้วยการผ่าตัด จะถูกนำไปใช้ในกลุ่มที่ใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น
ขนาดของถุงน้ำยังคงมีขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ร่วมกับอาการปวดอย่างรุนแรงส่งผลกระทบไปยังส่วนอื่นของร่างกาย และการดำเนินชีวิต
การผ่าตัดจะถูกจำกัดตำแหน่งแค่ในส่วนที่เกิดโรคเท่านั้น ด้วยวิธีการกำจัดเอาพังผืดดังกล่าวออกไป
ในปัจจุบันใช้วิธีส่องกล้องผ่าตัดทางหน้าท้องเป็นหลัก ซึ่งช่วยให้แผลมีขนาดเล็ก
มีอาการเจ็บปวดเพียงเล็กน้อย และผู้ป่วยฟื้นตัวได้ไวขึ้น
Photo Credit : drmalpani.com
นอกจากนี้การผ่าตัดยังเกิดขึ้นได้กับในรายที่ถุงน้ำแตกฉับพลัน ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงดังที่กล่าวไปข้างต้น
สาวๆ ที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์หรือไม่ ให้สังเกตได้ง่ายๆ จากอาการปวดท้องประจำเดือน
หากปวดอยู่แล้ว แต่มีอาการปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกเดือน ทางที่ดีควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อหาสาเหตุของอาการปวดที่ผิดปกติดังกล่าวจะดีที่สุดค่ะ