ภาวะขาดวิตามินบี 1 อันตรายที่ควรเช็คก่อนสาย! รู้ทันป้องกันการเสียชีวิตได้

ขาดวิตามินบี1 ต้องกินอะไร

ใครว่า อาการขาดวิตามิน เป็นเรื่องที่ไม่น่ากลัว หากใครเคยรู้สึกว่าตัวเองมีอาการเหน็บชาอยู่บ่อยครั้ง

นั่นคือสัญญาณเตือนที่ร่างกายกำลังบอกว่าเราขาดวิตามินบี 1 อยู่ แต่ใครจะรู้ว่า อาการที่เกิดขึ้น

ไม่ใช่แค่อาการชาธรรมดาทั่วไปแล้ว สามารถหายไปได้เองแบบไม่เกิดอันตราย

เพราะ โรคเหน็บชา จะเป็นตัวการอันตราย ทำให้ประสาทมีการอักเสบและเสื่อมสภาพตามมา

ส่งผลให้การเคลื่อนไหวผิดปกติ แขนขาอ่อนแรง จากนั้นจึงกลายเป็นภาวะกึ่งอัมพาต

เสี่ยงต่อการเสียชีวิตกันได้เลยทีเดียว ดังนั้นสาวๆ ควรรู้เอาไว้ว่า วิตามินบี 1 เป็นส่วนสำคัญในการทำงานของร่างกาย

ใครที่รู้ตัวว่ากินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ลองเช็คสุขภาพของตัวเองกันดูสักหน่อย ว่าภัยเงียบกำลังมาเยือนแล้วหรือยัง !

หน้าที่ของวิตามินบี 1 กับประโยชน์ต่อร่างกาย

วิตามินบี 1 เป็นสารอาหารที่เรียกกันอีกชื่อว่า “ไธอะมิน (Thiamine)” มีหน้าที่สำคัญคือช่วยกระตุ้นการเผลาผลาญพลังงาน

ตั้งแค่คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ให้แตกตัวและนำไปใช้ในการทำงานต่างๆ ภายในร่างกาย

ให้เราสามารถมีแรงในการเคลื่อนไหว และนอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญช่วยดูแลระบบประสาท

โดยเฉพาะในส่วนกระแสประสาทความรู้สึกที่ส่งตรงไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย กระตุ้นการทำงานของทางเดินอาหาร

และการทำงานของระบบหัวใจ ดังนั้นเราจะพบวิตามินบี 1 ถูกสะสมอยู่ตามกล้ามเนื้อ สมอง หัวใจ ตับ และไต

เมื่อใดก็ตามที่เกิดภาวะขาดวิตามิน ร่างกายจะดึงเอาส่วนที่สะสมไว้ออกมาใช้

และจะหมดไปภายในเวลาเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น ทำให้คนที่ขาดวิตามินบี 1 จะมีอาการข้างเคียงตามมา

โดยเบื้องต้นคือภาวะเหน็บชา จากนั้นก็จะค่อยๆ ตามมาด้วยอาการที่รุนแรงหากไม่ไดรับการรักษาอย่างถูกต้อง

อาการที่เกิดขึ้น เมื่อเกิดภาวะขาดวิตามินบี 1

ในช่วงแรก ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย ความจำไม่ดี ไม่ค่อยมีสมาธิ หงุดหงิดง่าย

เจ็บหน้าอก นอนไม่ค่อยหลับ เบื่ออาหาร ท้องผูก ชาตามปลายเท้าสองข้าง เรียกกันว่าberiberi

ปวดตามกล้ามเนื้อ ลุกไม่ขึ้น บางรายมีอาการรุนแรง ทำให้เป็นตะคริว ซึ่งพบได้มากในช่วงกลางคืน

จากนั้นอาการเหน็บชา จะตามมาที่ปลายมือและปลายเท้า ทำให้รู้สึกเจ็บแปล๊บ เบื่ออาหาร ท้องอืด

เหนื่อยง่ายกว่าปกติ แขนขาอ่อนแรง ปัสสาวะลดลง ปวดตามน่อง อารมณ์แปรปรวนโดยไม่ทราบสาเหตุ

น้ำหนักลด โดยอาการที่เด่นๆ คือชีพจรเต้นเร็วผิดจังหวะ เท้าบวม นอนราบไม่ได้ มีอาการใจสั่น ผิวร้อน

เหงื่ออออก และหัวใจเต้นผิดจังหวะ หากไม่ได้รับการรักษาอาจเสี่ยงทำให้หัวใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด

ก่อนที่ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงจนถึงช่วงหัวใจล้มเหลว พบว่าส่วนหนึ่งมีอาการทางประสาทเป็นสัญญาณเตือนมาก่อน

จะทำให้เกิดอาการอย่างเฉียบพลัน สับสน พูดจาวกไปวนมา ไม่ค่อยรู้เรื่อง โดยเรียกระยะนี้ว่า “Korsakoff’s syndrome”

หากไม่ทำการรักษาอย่างเร่งด่วน จะทำให้ผู้ป่วยมองเห็นภาพซ้อน กระตุก

เข้าสู่ภาวะโคม่า และเข้าสู่ระยะ “Wernicke’s encephalopathy” ที่จะนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด

การรักษาและป้องกันการขาดวิตามินบี 1

สำหรับการรักษา แพทย์จะวินิจฉัยเพื่อให้ทราบแน่ชัดก่อนว่าผู้ป่วยมีภาวะขาดวิตามินบี 1

หรือเกิดขึ้นจากภาวะแทรกซ้อนอันเนื่องมาจากโรคทางกายชนิดอื่น โดยใช้วิธีตรวจปัสสาวะ

สังเกตปริมาณของวิตามินที่ถูกขับออกมา บางรายอาจจะมีการตรวจหา Erythrocyte transketolase activity

ในช่วงก่อนและหลังให้วิตามิน จากนั้นก็จะทำการวิเคราะห์ผลต่อไป

กรณีเกิดภาวะขาดวิตามินไม่รุนแรง จะเกิดปัญหาการอักเสบที่ปลายประสาทเล็กน้อย

แพทย์จะให้รับประทานวิตามินบี 1 ชนิดอาหารเสริม วันละ 20-30 มิลลิกรัม ติดต่อกันประมาณ 3 สัปดาห์

ซึ่งในระหว่างนั้น แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 เข้าไปด้วย ส่วนผู้ที่มีภาวะหัวใจวาย

จะใช้การฉีดที่ตอบสนองได้ดีกว่าครั้งละ 50-100 มิลลิกรัมเข้าสู่เส้นเลือดดำ ซึ่งจะช่วยให้อาการดีขึ้น ลดภาวะเหน็บชาที่รุนแรงได้

กรณีที่มีอาการทางประสาท จำเป็นต้องฉีดเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 2 ครั้ง จนว่าอาการจะดีขึ้น

และให้รับประทานวิตามินเสริมต่อเนื่องไปอีกวันละ 20-30 มิลลิกรัม

การป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากภาวะขาดวิตามินบี 1 สามารถทำได้ด้วยการเลือกกินอาหารให้ครบตามหลักโภชนาการ

ซึ่งพบได้มากในข้าวซ้อมมือ ไข่แดง ตัว เครื่องในสัตว์ นม ถั่ว โยเกิร์ต และธัญพืชเปลือกบาง

หลีกเลี่ยงอาหารที่เข้าไปทำลายวิตามิน ซึ่งจะพบได้ในปลาร้า หมาก พลู ชา หอยแมลงภู่ หอยกาบ

อาหารดิบๆ เช่น กุ้งดิบ เนื้อสัตว์ดิบ และปลาน้ำจืดบางชนิด ทั้งนี้อาหารต้องห้ามสามารถรับประทานได้ในคนทั่วไปที่มีสุขภาพแข็งแรง

แต่ควรทานในปริมาณน้อย และเป็นอาหารที่ผ่านการทำให้สุกดีแล้ว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดวิตามินบี 1

การขาดวิตามินบี1

Photo Credit : vitaminsestore.com

ภาวะขาดวิตามินบี 1 เป็นภาวะที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายได้อย่างรุนแรงหากไม่ได้ทำการรักษาอย่างถูกวิธี

แต่หากสาวๆ ดูแลตัวเองด้วยการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์อย่างครบถ้วน

ก็ช่วยป้องกันไม่ให้อาการต่างๆ ข้างต้นเกิดขึ้นได้ แถมยังได้สุขภาพที่แข็งแรงตามมาอีกด้วยค่ะ