“โรคน้ำกัดเท้า” หรือ “กลุ่มโรคเชื้อราในเท้า” (Hong Kong foot) มักเกิดขึ้นตอนช่วงหน้าฝน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินลุยน้ำ
ต้องเปียกปอนจากการเผชิญฝนตกทุกวันจนทำให้ร้องเท้าอับชื้น และหากซ้ำร้ายกว่านั้นคือ การเดินลุยน้ำท่วมหรือน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำ
มักมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิด ปัญหาสุขภาพเท้า ดังกล่าวขึ้นง่ายแน่นอน และเพื่อ การดูแลรักษาปัญหาสุขภาพเท้าอย่างถูกต้องเหมาะสม
เราจึงไม่พลาดที่จะนำสารพัดวิธีมาให้คุณได้นำไปปฏิบัติ ว่าแต่จะมีวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย
- 5 สมุนไพรรักษาเชื้อรา แก้ปัญหาผิวหนัง ฮ่องกงฟุต
- วิธีปฏิบัติเมื่อต้องเดินลุยน้ำ เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพเท้า
- วิธีดูแลเท้าหลังเปียกน้ำฝน ทำได้อย่างไร?
- หน้าฝน สวมใส่รองเท้าอย่างไรให้เหมาะสม?
- เคล็ดลับดูแลเท้า สำหรับผู้ต้องเดินลุยน้ำท่วมขังเป็นประจำ
- ปัญหาผิวเท้าที่ถูกน้ำบ่อยๆ ควรดูแลรักษาอย่างไร?
- ระวัง! หากมีแผลแล้วไม่รักษา โอกาสในการติดเชื้อตามมาย่อมสูง
5 สมุนไพรรักษาเชื้อรา แก้ปัญหาผิวหนัง ฮ่องกงฟุต
ไม้ประดับที่เรามักนิยมปลูกตกแต่งบ้านและสวนให้สวยอยู่เสมอนั้น บางต้นก็อาจจะแอบซ่อนคุณประโยชน์ดีๆ ไว้ภายใน
มากกว่าความงามของมัน โดยเฉพาะพืชสมุนไพรที่เป็นไม้ประดับเหล่านี้ แม้ว่าจะเป็นไม้ประดับสวยงาม
หากก็มีสรรพคุณทางยาที่จะช่วยรักษาปัญหาผิวหนังได้อย่างครบวงจร มาดูกันนะคะว่า สมุนไพรดูแลสุขภาพเท้าช่วงหน้าฝนได้ดีมีอะไรบ้าง?
1.เทียนบ้านหรือเทียนสวน
ใครเลยจะรู้ว่า ต้นไม้ประดับสำหรับตกแต่งสวนต้นเล็กๆ อย่างเทียนบ้านหรือเทียนสวนที่หลายคนมักมองข้าม
กลับมีสรรพคุณทางยาอย่างมากทีเดียว โดยสรรพคุณในส่วนใบจะช่วยแก้อาการปวดตามข้อ รักษาแผลที่มีฝีหนองเรื้อรัง
แก้งูกัด ในส่วนของดอกจะมีรสชาติเฝื่อนเย็น มีสรรพคุณช่วยลดอาการบวม ลดอาการปวดข้อ ปวดเอว
สามารถนำมาทารักษาแผลน้ำร้อนลวก และแผลพุพองได้ ในสมัยโบราณมักนิยมนำใบและดอกมาตำด้วยกัน
จากนั้นนำมาพอกบริเวณที่เป็นเล็บขบก็จะช่วยแก้ปัญหาเล็บขบ และช่วยลดอาการปวดอักเสบลงได้อย่างดี
แต่ในส่วนตำรับยาแพทย์จีนมักนิยมใช้เทียนดอกขาวในการรักษามากกว่า
วิธีการใช้
– นำใบสดและดอกอย่างละ 1 กำมือ มาตำรวมกันให้ละเอียด จากนั้นนำมาพอกหรือคั้นเอาแต่น้ำ มาทาลงบริเวณแผลพุพอง และผิวที่เปื่อยลาม โดยทาเป็นประจำเช้า-เย็น
– นำใบมาแช่ลงในแอลกอฮอล์ ให้ได้สารสกัดที่มีคุณสมบัติในการช่วยฆ่าเชื้อราอันเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน และฮ่องกงฟุต
– นำใบไปตากแดดจนแห้ง แล้วนำมาบดเป็นผงละเอียด แทรกด้วยพิมเสน ใช้โรยแผลและรักษาปัญหาแผลเรื้อรัง
2.ต้นแก้ว
ต้นแก้ว เป็นต้นไม้ประดับอีกหนึ่งชนิดที่มักนิยมนำมาปลูกริมรั้วบ้าน ทั้งยังมีกลิ่นหอมสะพรั่งสร้างบรรยากาศในยามค่ำคืนได้เป็นอย่างดี
แต่ในส่วนสรรพคุณทางยาก็มีดีไม่แพ้สมุนไพรใดอื่นเลยทีเดียว เนื่องจากในส่วนของก้านและใบสดของต้นแก้วนั้น
มีน้ำมันหอมระเหยซึ่งมีฤทธิ์เป็นดั่งยาชาช่วยระงับอาการปวดได้ดี และยังสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาผดผื่นคัน
ที่เกิดจากความอับชื้นได้ด้วย เพียงนำมาต้มชะล้างหรือเอามาใช้แช่เท้าก่อนนอนก็ได้
Credit : sites.google.com
3.มังคุด
หน้าฝน ถือเป็นช่วงของหน้ามังคุด ผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงฤดูฝน และใครที่กินมังคุดแล้วก็ไม่ควรทิ้งเปลือกเด็ดขาด
เพราะเปลือกของมังคุดมีสรรพคุณทางยา ให้นำเปลือกมาล้างน้ำแล้วนำไปตากจนแห้ง เพื่อเก็บเอาไว้ใช้ทำเป็นยารักษาปัญหาผิวหนัง
ในส่วนของการนำมารักษาดูแลเท้านั้นก็ให้นำเปลือกมังคุดมาแช่กับแอลกอฮอล์หรือแช่ในเหล้าขาวก็ได้
โดยแช่นาน 7 วัน จากนั้นนำสำลีมาชุบแล้วทาตามง่ามเท้า หรืออาจเปลือกไปต้มจากนั้นนำน้ำมาใช้แช่เท้าก่อนเข้านอนก็ได้เช่นกัน
4.ทองพันชั่ง
ทองพันชั่ง สมุนไพรพืชไม้ประดับที่ได้รับความนิยมในการนำมาปลูกตามบ้านทั่วไป สำหรับในส่วนสรรพคุณของใบจะมีรสเมาเบื่อ
โดยจะมีส่วนช่วยรักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน ฆ่าพยาธิ และโรคมะเร็ง วิธีการใช้ สามารถนำทุกส่วนของต้นมาตำให้แหลกละเอียด
แล้วนำมาผสมกับแอลกอฮอล์หรือเหล้าขาวเพื่อให้ได้เป็นยา สำหรับนำมาทาลงบนแผล เพื่อช่วยรักษากลากเกลื้อน กำจัดเชื้อราและอาการผื่นคัน
5.ต้นชบา
ต้นชบาที่ออกดอกสีสันสวยสดใส เป็นไม้ประดับที่มักนิยมปลูกตามบ้านกันอย่างแพร่หลาย สามารถนำสรรพคุณทางยาของมัน
มาใช้รักษาปัญหาผิวหนังได้ดีทีเดียว โดยให้นำเปลือกของต้นชราประมาณ 50 กรัม มาตำและแช่ลงในแอลกอฮอล์ปริมาณ 150 ซีซี นาน 1 วัน
จากนั้นกรองเอาแต่น้ำยามาทาบริเวณผิวที่เป็นฮ่องกงฟุต ก็จะช่วยรักษาโรคผิวหนังอันเกิดจากเชื้อราได้เป็นอย่างดีแล้วค่ะ
Credit : baanmaha.com
วิธีปฏิบัติเมื่อต้องเดินลุยน้ำ เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพเท้า
เมื่อฝนตกลงมาก็ย่อมมีปัญหาน้ำท่วม ตลอดจนน้ำท่วมขัง ซึ่งน้ำเหล่านั้นก็เจือปนมาพร้อมสิ่งสกปรก และเชื้อโรคต่างๆ
รวมถึงยังมีสิ่งอื่นมากมายที่อาจทำร้ายสุขภาพเท้าของเราให้เจ็บปวด มีบาดแผลและเป็นฮ่องกงฟุตตามมา ดังนั้น สิ่งที่คุณควรปฏิบัติเมื่อจำเป็นต้องเดินลุยน้ำมีดังนี้
ไม่ควรเดินย่ำน้ำด้วยเท้าเปล่า
ในช่วงที่ฝนตก และในกรณีที่มีน้ำท่วมขัง แนะนำว่าไม่ควรเดินย่ำน้ำด้วยเท้าเปล่าเด็ดขาด ควรสวมรองเท้าเพื่อป้องกันไม่ให้ของมีคมต่างๆ บาดเท้าได้
ไม่ว่าจะเป็นเศษแก้ว เศษกระเบื้องและยังช่วยป้องกันการโดนสัตว์มีพิษที่ไหลมากับน้ำกัดต่อยได้ด้วย โดยเฉพาะตะขาบหรืองู
นอกจากนี้ หากเดินเปลือยเท้าก็ยังมีโอกาสที่จะมีพยาธิไชผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายเราได้เช่นกัน
หากน้ำท่วมขัง ควรสวมรองเท้าบูทเดินทุกครั้ง
หากมีน้ำท่วมหรือน้ำขัง ควรใส่รองเท้าบูททุกครั้งเวลาเดินลุยน้ำ เพราะการสวมรองเท้าบูทจะช่วยป้องกันไม่ให้เท้า
ได้รับการสัมผัสกับน้ำที่สกปรกโดยตรง โดยสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ หรือสัมผัสสารที่อาจเป็นอันตรายต่อผิว
วิธีดูแลเท้าหลังเปียกน้ำฝน ทำได้อย่างไร?
หากในกรณีออกจากบ้านแล้วฝนตก คุณอาจจะต้องเดินลุยน้ำซึ่งบางพื้นที่ก็อาจมีน้ำท่วมขังสกปรก ทำให้เท้าของเรายิ่งมีแต่เชื้อโรคเกาะกุมมากขึ้น
หากเป็นเช่นนี้ เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ควรรีบล้างเท้าให้สะอาดทันที โดยฟอกถูด้วยสบู่เพื่อกำจัดเชื้อโรคจนหมดจด
โดยเฉพาะบริเวณซอกง่ามนิ้วเท้า และซอกเล็บก็ควรใส่ใจทำความสะอาดเป็นอย่างดี หลังจากนั้นเช็ดเท้าให้แห้ง โรยตามด้วยแป้งฝุ่น
เพื่อลดความอับชื้นของผิว ในส่วนรองเท้าหรือถุงเท้าที่เปียกก็ควรนำไปซัก หรือล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อย แล้วรีบผึ่งให้แห้งเช่นกัน
หน้าฝน สวมใส่รองเท้าอย่างไรให้เหมาะสม?
ในช่วงหน้าฝนนี้ คุณควรหลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าประเภทผ้า เช่น รองเท้าผ้าใบ หรือรองเท้าที่เดินแล้วไม่คล่องตัวอย่างส้นสูงหรือคัทชู
แนะนำให้หันมาสวมรองเท้าที่ให้การยึดเกาะพื้นผิวถนนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะรองเท้าแตะหรือรองเท้ารัดส้นเตี้ยๆ
ที่มีพื้นผิวรองเท้าขรุขระ เพื่อให้การเดินสะดวก คล่องตัว และรองเท้ายังสามารถล้างทำความสะอาดได้ง่าย แถมยังแห้งเร็วอีกด้วย
หรือหากพื้นที่ที่อยู่มีน้ำท่วมขังก็ควรสวมใส่รองเท้าบูทเป็นหลักจะดีที่สุด เพื่อป้องกันปัญหาผิวหนังต่างๆ ที่อาจตามมา
Credit : ndfashion.com
เคล็ดลับดูแลเท้า สำหรับผู้ต้องเดินลุยน้ำท่วมขังเป็นประจำ
สำหรับผู้ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำท่วมขังบ่อยๆ ได้ แนะนำให้ทำความสะอาดเท้า
ด้วยการ ใช้เกล็ดด่างทับทิมผสมกับน้ำสะอาดเพื่อฆ่าเชื้อโรค โดยผสมให้เป็นน้ำสีชมพูอ่อนจากนั้นแช่เท้าประมาณ 5 นาที
และก่อนเดินลุยน้ำ ควรใช้ขี้ผึ้งหรือวาสลีนทาเคลือบผิวเท้าก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวเท้าสัมผัสกับน้ำที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคและสิ่งสกปรกมากจนเกินไป
และหากอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีน้ำทำความสะอาดเท้าได้อย่างเพียงพอ ก็ควรหมั่นเช็ดเท้าให้แห้งอยู่เสมอ
อย่างน้อยก็จะช่วยลดปัญหาผิวหนังที่อาจตามมาได้มากขึ้น เพราะหากปล่อยให้เท้าเปียกน้ำนานต่อเนื่องก็ย่อมนำมาซึ่งปัญหาเท้าเปื่อย และมีผิวหนังแตกลอกขึ้นได้
ปัญหาผิวเท้าที่ถูกน้ำบ่อยๆ ควรดูแลรักษาอย่างไร?
หากเท้าถูกน้ำบ่อยๆ ในรายที่มีอาการไม่มาก ลักษณะของผิวจะแห้งลอกเป็นขุย แนะนำให้ทำความสะอาดอยู่เสมอ
โดยควรเช็ดเท้าให้แห้ง ไม่ควรปล่อยให้เกิดความชื้น และการทาครีมบำรุงผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ก็สามารถช่วยลดอาการแห้งแตกจนลอกได้เช่นเดียวกัน
แต่ในรายที่เท้าโดนน้ำมากจนมีปัญหาผิวเท้าแห้งแดง แตก ลอก คัน และมีอาการผิวหนังอักเสบ ควรใช้ครีมประเภทสเตียรอยด์ทารักษาจนกว่าจะหาย
ระวัง! หากมีแผลแล้วไม่รักษา โอกาสในการติดเชื้อตามมาย่อมสูง
หากมีปัญหาแผลที่เท้า แต่ขาดการละเลยดูแลรักษาอย่างถูกวิธี โอกาสในการติดเชื้อแบคทีเรียขึ้นที่ผิวหนังย่อมมีสูงตามมาแน่นอน
ซึ่งหากแผลเกิดการติดเชื้อแล้ว แผลจะมีลักษณะอาการบวมแดง ปวด อักเสบ มีฝีหนอง
ในการรักษาผู้ป่วยจะต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาดแผลเป็นอย่างดี และอาจมีการใช้ขี้ผึ้งทาฆ่าเชื้อร่วมด้วย
หากมีอาการมากก็อาจจะต้องรับประทานยาฆ่าเชื้อเช่นกัน และต้องหมั่นดูแลรักษาเท้าให้แห้งอยู่เสมอ
เพราะการปล่อยให้เท้าติดเชื้อราก็จะทำให้เกิดปัญหาผิวหนังเรื้อรังขึ้นได้ โดยสภาพผิวจะแห้งลอก โดยเฉพาะในบริเวณซอกนิ้ว
สามารถสังเกตเห็นได้ว่า เป็นขุย เปื่อยลอก และมีกลิ่นเหม็น สำหรับวิธีการรักษาก็คือ การทาแผลด้วยยาฆ่าเชื้อรา
และหากมีอาการรุนแรงผู้ป่วยก็ต้องรับประทานยาด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งอาการทั้งหมดนี้ ควรได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี
หากไม่มั่นใจแนวทางรักษาด้วยตนเอง ผู้ป่วยสามารถพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องจะดีที่สุด
Credit : sifascorner.com
การดูแลเท้าช่วงหน้าฝน นั้นทำได้ไม่ยากเลยใช่มั้ยล่ะคะ ขอเพียงจากนี้คุณใส่ใจเลือกสวมรองเท้าที่เหมาะสมกับการเดิน
ไม่เดินเปลือยเท้า และควรทำความสะอาดเท้าเป็นอย่างดี หากมีแผลก็ควรทายารักษา และดูแลเท้าให้แห้งอยู่เสมอ
เพียงเท่านี้ ปัญหาเท้า ต่างๆ ที่เกิดจากการตากฝนก็จะลดลงได้แล้วค่ะ