โรคไวรัสตับอักเสบ เป้นโรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย ชาวบ้านทั่วไปเรียกกว่า โรคตัวเหลืองตาเหลือง หรือโรคดีซ่าน เชื้อไวรัสตับอักเสบมีมานานแล้ว แต่มาค้นพบเมื่อการแพทย์เจริญมากขึ้น
เชื้อไวรัสตับอักเสบที่ค้นพบขณะนี้คือ เชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ, เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี, เชื้อไวรัสตับอักเสบ ดี, และเชื้อไวรัสตับอักเสบที่ไม่ใช่เอและบี ภายหลังได้ชื่อว่า ไวรัสตับอักเสบ ซี และไวรัสตับอักเสบ อี
ในปัจจุบัน มีคนจำนวนมากที่คิดว่า โรคที่ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์และเลือดที่ร้ายแรงเป็นอันตรายนั้น มีเฉพาะโรคเอดส์ แต่มีอีกหลายคนคงจะไม่ทราบว่า โรคไวรัสตับอักเสบ บี, ไวรัสตับอักเสบ ซี สามารถติดเชื้อได้จากทางนี้เช่นกัน ถึงแม้จะมีความรุนแรงและอันตรายไม่เท่ากับโรคเอดส์ก็ตาม แต่ถ้าไม่ทำการรักษาพยาบาลอย่างถูกต้อง ก็อาจอันตรายถึงกับเสียชีวิตได้
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบ เป็นอย่างไร
เชื้อไวรัสตับอักเสบที่เรียกชื่อแตกต่างกันนั้น โดยทั่วไปพบว่ามีอาการคล้ายคลึงกัน คือจะมีอาการอ่อนเพลีย มีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน แน่นท้อง ท้องอืด เจ็บบริเวณชายโครงขวา ตัวเหลือง ตาเหลือง
โดยทั่วไปแล้ว อาการของโรคตับอักเสบอาจจะปรากฎอยู่ 2-3 สัปดาห์ จากนั้นจะค่อยๆ ลดลงจนหายเป็นปกติภายใน 4-6 สัปดาห์ โรคตับอักเสบบางชนิดอาจหายขาดได้ บางชนิดอาจเป็นเรื้อรังไปอีกหลายปี หรืออาจเกิดผลแทรกซ้อนตามมาในระยะยาว
โรคไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B :HBV) คือ
ปัจจุบันทีผู้ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี กว่า 5% หรือประมาณ 3 ล้านคน ในจำนวนนี้จะมีคนจำนวนหนึ่งที่เป็นไวรัสตับอักเสบ บี แบบเรื้อรัง นอกนั้นเป้นแค่พาหะซึ่งในบ้านเรายังเข้าใจผิดคิดว่า คนที่เป็นไวรัสตับอักเสบจะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ร่างกายอ่อนเพลีย ทั้งที่จริงแล้ว ผู้ป่วยที่เป็นไวรัสตับอักเสบ บี จะไม่แสดงอาการใดๆ เลย นอกจากจะไปตรวจเลือดถึงจะรู้
ส่วนผู้ที่เป็นพาหะเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี สามารถติดต่อได้ทางเลือด ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี จะมีระยะฟังตัวของโรค ภายในเวลา 30-150 วัน โดยผู้ป่วยอาจจะมีอาการไข้ต่ำๆ ปวดข้อ ต่อมน้ำเหลืองโต หรือมีลมพิษเกิดขึ้นก่อนที่อาการตาเหลือง ตัวเหลืองจะปรากฎชัดเจน
ผู้ที่ตรวจพบไวรัสตับอักเสบ บี มักจะไม่ค่อยกลัวและวิตกกังวลเท่าไหร่ เพราะว่า ได้รับการพักผ่อนเพียงพอ และได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างถูกต้อง
ควรดูแลสุขภาพตัวเอง ไม่ดื่มสุราของมึนเมาจัด หรือใช้ชีวิตสมบุกสมบัน อะไรที่เป็นพิษเป็นภัยกับตับก็ควรเลิกเสีย สภาพตับจะได้ดีขึ้น แต่จะมีอันตรายก็ต่อเมื่อผู้ที่ได้รับเชื้อเข้าไปแล้ว ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างไม่สม่ำเสมอ หายแล้วไม่ค่อยระวังตัว โรคอาจจะกลัมาอีกได้ คราวนี้จะมีความรุนแรงอาจถึงขึ้นเสียชีวิตได้
โรคไวรัสตับอักเสบ ซี (Hepatitis C) คือ
โรคไวรัสตับอักเสบ ซี เกิดมานานแล้ว แต่ยังค้นไม่พบ ในสมัยก่อนเมื่อเห็นตัวเหลือง ตาเหลืองก็จะตรวจเลือด แต่ผลจากการตรวจเลือดพบว่าไม่ใช่ไวรัส เอ หรือ ไวรัส บี ช่วงแรกจึงเรียกว่า ไวรัสตับอักเสบไม่ใช่ เอ ไม่ใช่ บี
ต่อมาประมาณปลายปี 2532 ได้มีน้ำยาตรวจสอบ จึงพบไวรัสตัวหนึ่ง ในส่วนของไวรัสตับอักเสบ ไม่ใช่ เอและบี แต่คือไวรัสตับอักเสบ ซี นั่นเอง
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบ ซี ก็เหมือนกับโรคไวรัสตับอักเสบ บี คือเมื่อได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี เข้าไปจะใช้ระยะเวลาฟักตัว 6 สัปดาห์ ถึง 6 เดือน อาการที่พบจะรุนแรงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับภาวะของผู้ติดเชื้อ ความรุนแรงของเชื้อที่พบใกล้เคียงกัน ผลจากการแทรกซ้อน สามารถทำให้เกิดโรคตับเรื้อรังได้เช่นเดียวกัน
การติดต่อของโรคไวรัสตับอักเสบ
โรคไวรัสตับอักเสบ บี และโรคไวรัสตับอักเสบ ซี จะแพร่เชื้อโรคไปยังผู้อื่นได้โดย:
การมีเพศสัมพันธ์ ส่วนมากจะพบในผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบ บี สำหรับโรคไวรัสตับอักเสบ ซี นั้น จากการศึกษาขณะนี้พบว่า การติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นน้อยอยู่
ทางเลือด โดยการสัมผัสเลือดของผู้ป่าวย เช่น ถูกเข็มที่ใช้เจาะเลือด หรือฉีดยาผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสอยู่ตำหรือแทงโดยอุบัติเหตุ ที่มือหรือผิวหนังที่มีแผลถลอก แล้วไปสัมพัสกับเลือดของผู้ป่วย
จากแม่สู่ลูก คือแม่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ในขณะตั้งครรภ์ เมื่อคลอดลูก ลูกจะได้สัมผัสกับเลือดของแม่ในช่องคลอด จึงมีโอกาสติดเชื้อได้ และจะติดต่อจากแม่ไปสู่ลูกเกินร้อยละ 70 แต่ไวรัสตับอักเสบ ซี ยังไม่มีรายงานว่าติดต่อได้ทางนี้
ความรุนแรงของโรคไวรัสตับอักเสบ
โรคไวรัสตับอักเสบ บี โรคนี้ถ้าอยู่ในร่างกายเป็นเวลานานจะมีอาการของโรคตับอักเสบเรื้อรังได้ ในบางรายอาจเป้นตับแข็ง บางรายอาจมีอาการอาเจียน หรือถ่ายเป็นเลือด บางรายอาจะเปลี่ยนเป็นมะเร็งของตับ
สำหรับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี มีข้อได้เปรียบกว่าโรคไวรัสตับอักเสบ ซี คือ มีวัคซีนป้องกัน
ฉะนั้น สามี ภรรยาหรือบุตรของผู้ติดเชื้อไว้รัสตับอักเสบ บี สามารถฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อได้ และยังช่วยป้องกันการแพร่เชื้อกับบุคคลภายนอกในครอบครัวหรือคนอื่นอีกด้วย
โรคไวรัสตับอักเสบ ซี ยังไม่มีวัคซีนป้องกันความรุนแรงของโรคใกล้เคียงกัน ผลจากการแทรกซ้อนสามารถทำให้เกิดโรคตับเรื้องรังได้เช่นเดียวกัน
การป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี
- ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- ไม่ใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น
- ถ้ามีญาติหรือคนในครอบครัวเป็นมะเร็งตับ ควรตรวจเลือดหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี
- ตรวจเลือดก่อนแต่งงาน โรคไวรัสตับอักเสบ บี และโรคไวรัสตับอักเสบ ซี รวมทั้งโรคอื่นๆ ที่สามารถติดเชื้อได้ทางเพศสัมพันธ์และทางเลือดบางชนิด เช่น โรคซิฟิลิส
- ศูนนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และสาขาบริการโลหิตทั่วประเทศ งดรับบริจาคโลหิตจากผูที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเหล่านี้