“เมล็ดเจีย” (Chia Seed) หรือ เมล็ดเชีย เป็นหนึ่งในพืชที่กำลังได้รับความนิยมในด้านการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะการเป็นตัวช่วยลดน้ำหนัก
ลักษณะเป็นเมล็ดขนาดเล็กคล้ายเมล็ดแมงลัก มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคและบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ด้วยกระแสสุขภาพที่กำลังมาแรง
เรียกได้ว่าเป็นพืชจิ๋วแต่แจ๋ว สรรพคุณอัดแน่นอยู่อย่างล้นทะลัก จึงทำให้มันได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว สาวๆ ที่ลดน้ำหนักจึงเน้นการดูแลสุขภาพด้วยการเลือกให้เมล็ดเจียเป็นผู้ช่วย
แต่ในประโยชน์อันมากมี ก็มีโทษต่อสุขภาพได้หากไม่ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน ดังนั้นเราลองมาทำความรู้จักกับเมล็ดเจีย พร้อมข้อมูลทางด้านประโยชน์และโทษกันให้มากขึ้นดีกว่าค่ะ
คุณประโยชน์จากสารอาหารในเมล็ดเจีย
จากข้อมูลการวิจัยของต่างประเทศ กระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture) ได้กล่าวเอาไว้ว่าเมล็ดเจียเป็นประเภทของธัญพืชที่มีประโยชน์มหาศาล
จนถูกได้รับการขนานนามว่าเป็น Super Fruit และ Super Seed โดยสารอาหารหลักที่พบในเมล็ด ประกอบไปด้วย กรดไขมันโอเมก้า-3,กรดไขมันโอเมก้า-6,ไฟเบอร์,แคลเซียม,โปรตีน และสารต้านอนุมูลอิสระ
ในด้านของการนำไปใช้เพื่อช่วยลดน้ำหนัก ก็เนื่องมาจากเมล็ดเจียเมื่อถูกน้ำหรือของเหลวจะสามารถพองตัวได้ถึง 12 เท่าจากขนาดเดิม ทำให้กินอาหารได้น้อยลง และรู้สึกอิ่มนานขึ้น
เชื่อหรือไม่ว่าในเมล็ดเจียยังมีสรรพคุณทางยาที่ให้ประโยชน์อย่างมากมายต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเสริมสร้างหัวใจให้แข็งแรง
ช่วยลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน มีฤทธิ์ช่วยลดอาการอักเสบ ช่วยให้ระบบเผาผลาญในร่างกายถูกกระตุ้น บำรุงสมอง
ช่วยให้ความจำดี มีแคลเซียมสูง จึงช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน กระตุ้นระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย อีกทั้งยังเป็นตัวซ่อมแซมเซลล์ของเนื้อเยื่อต่างๆ ได้อีกด้วย
ข้อยกเว้นกับการกินเมล็ดเจียในคนบางกลุ่ม
จะเห็นได้ว่าเมล็ดเจียมีคุณค่าทางอาหารอย่างมากมาย ทำให้คนส่วนมากเชื่อว่ามันมีแต่ประโยชน์ โดยลืมศึกษาข้อมูลการกินให้แน่ชัดเสียก่อน
ด้วยโทษของมันที่มีข้อจำกัดสำหรับคนบางกลุ่ม เรียกได้ว่าเป็นธัญพืชต้องห้ามที่ควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นมันจึงไม่ใช่พืชที่กินแล้วให้ประโยชน์ต่อสุขภาพกับทุกคน ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพดังต่อไปนี้จะต้องหลีกเลี่ยง ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดอันตรายตามมาได้ คือ
1.ผู้ที่มีปัญหาแพ้ “กลูเตน”
ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในธัญพืช โดยก่อนตัดสินใจเลือกกินเมล็ดเจีย ให้ลองกินมัสตาร์ดดูก่อนว่ามีอาการแพ้เกิดขึ้นหรือไม่
หากไม่มีก็ถือว่าสามารถกินเมล็ดเจียได้อย่างปลอดภัย
2.ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวข้องกับระบบกระเพาะอาหารและลำไส้
โดยเฉพาะในคนที่ท้องอืดท้องเฟ้อ มีแก็สในกระเพาะมาก รู้สึกแสบร้อนกลางอกเป็นโรคกรดไหลย้อนต้องหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด เนื่องจากเส้นใยของมันจะขยายตัวในกระเพาะอาหารมากขึ้นหลายเท่า
ซึ่งเป็นตัวเร่งให้น้ำย่อยถูกขับออกมา เสี่ยงที่อาการเบื้องต้นจะรุนแรงมากขึ้นตามมาได้
3.ผู้ที่กำลังวางแผนศัลยกรรม หรือในกลุ่มที่เคยใช้ยาแอสไพรินมาก่อน
เป็นกลุ่มที่ไม่ควรกินเมล็ดเจียเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีผลต่อภาวะฮีโมฟิเลีย ทำให้เลือดแข็งตัวช้า
อีกทั้งยังไปเพิ่มความบางของหลอดเลือด เสี่ยงที่จะทำให้เกล็ดเลือดไม่ทำงานเมื่อเกิดบาดแผล และเลือดไหลไม่หยุดตามมา
4.กลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
เนื่องจากเป็นธัญพืชที่อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดแอลฟา ลิโนเลอิก ที่ไปกระตุ้นให้เกิดเซลล์มะเร็ง
ในกลุ่มผู้ชายจึงควรกินแต่เพียงน้อย และไม่ควรกินเป็นประจำทุกวัน
5.คุณแม่ให้นมบุตร
ต้องหลีกเลี่ยงการกินเมล็ดเจียอย่างเด็ดขาด เพราะสารอาหารบางอย่างของมันจะเข้าไปเปลี่ยนโครงสร้างอาหารที่ออกมาจากน้ำนม ทำให้ทารกได้รับประโยชน์จากนมแม่ไม่เพียงพอ
Photo Credit : medicalnewstoday.com
แม้ทั้งหมดของข้อห้ามเหล่านี้จะเป็นคำเตือนที่ยังไม่ได้มีการวิเคราะห์ออกมาอย่างแน่ชัด แต่ก็ควรเลือกรับประทานเมล็ดเจียแต่เพียงพอดีไม่มากหรือน้อยจนเกินไป เพราะทุกอย่างล้วนมีประโยชน์และโทษด้วยกันทั้งสิ้น
ส่วนสาวๆ ที่ใช้เป็นตัวช่วยลดน้ำหนัก ก็อย่าลืมทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามหลักโภชนาการร่วมกับการออกกำลังกายด้วย จึงจะช่วยให้ได้สุขภาพที่แข็งแรง มีน้ำหนักตัวที่สมส่วนได้ดั่งใจไปพร้อมๆ กันค่ะ