อาการเวียนศีรษะ (Dizziness) เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไป ซึ่งอาจจะมาจากโรคเวียนศีรษะ (vertigo)
หรือเป็นอาการจากสภาพแวดล้อมที่ต้องเผชิญในแต่ละวันก็เป็นได้ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง แสงแดด ความร้อน ควันรถ กลิ่นสารเคมี อาการเมารถ กลิ่นสี ฯลฯ
สาวๆ ส่วนใหญ่เมื่อเกิดอาการดังกล่าวขึ้น มักจะไม่ค่อยทราบสาเหตุที่แน่ชัดจนกว่าอาการจะรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่งยืนทรงตัวไม่ไหว มีภาวะอาเจียนอย่างหนัก
อาการเบื้องต้นของภาวะนี้ ยาแก้เวียนศีรษะมักกลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งช่วยบรรเทาอาการให้หายคลื่นไส้อาเจียนได้
จึงมีการพกพายาชนิดนี้เอาไว้รับประทานเมื่อเกิดอาการ กลายเป็นพฤติกรรม เมื่อรู้สึกเวียนศีรษะเพียงเล็กน้อย ก็ใช้ยาเพื่อไปกดอาการกันแล้ว
หารู้ไม่ว่ายาแก้วิงเวียนมีอันตรายที่สาวๆ ไม่รู้ซ่อนอยู่ การใช้เป็นประจำจนกลายเป็นนิสัย จะนำมาซึ่งอันตรายและผลข้างเคียง โดยเฉพาะผลกระทบกับสารสื่อประสาทในสมอง
ลักษณะอาการวิงเวียนศีรษะที่ควรรู้
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น อาการวิงเวียนศีรษะเป็นอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน มีปัจจัยกระตุ้นจากหลายสาเหตุ
ส่วนมากเมื่อได้นอนพักผ่อนก็จะหายไปได้เองโดยไม่ต้องกินยา ซึ่งอาจจะมาจากการพักผ่อนน้อย
แต่ถ้าหากมีอาการเวียนศีรษะจนบ้านหมุนรุนแรง ไม่สามารถทรงตัวได้ ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์ดีกว่าหาซื้อยามากินเอง
(อ่านเพิ่มเติม : เวียนศีรษะจนบ้านหมุน อาการที่สาวๆ ไม่ควรมองข้าม สัญญาณเตือนโรคร้าย ! )
อาการเวียนศีรษะที่เกิดขึ้นมักจะถูกรักษาแบบประคับประคองในช่วงแรก หากไม่ใช่อาการที่รุนแรงมากนัก ซึ่งแพทย์จะวิเคราะห์จากหลายๆ ปัจจัย
มีการซักประวัติคนไข้ ลักษณะอาการเวียนศีรษะที่เกิดขึ้นเป็นแบบไหน ระดับความรุนแรง สภาพแวดล้อมอาศัยที่อยู่รอบตัวในชีวิตประจำวัน
ระยะเวลาที่เกิดอาการ อาการข้างเคียงอื่นๆ ปัจจัยที่ทำให้หายเป็นปกติ ความบ่อยในการเกิด และอื่นๆ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย
ด้วยอาการที่เกิดขึ้นทั่วไปเป็นธรรมดา ผู้ป่วยนิยมเลือกซื้อยากินเองแทนที่จะเข้ารับการรักษาจากแพทย์
ไม่ว่าจะเป็นอาการเวียนศีรษะแบบไหน
ก็มักจะเลือกใช้ยาตัวเดิมจนกลายเป็นนิสัย บางรายที่เข้ารับการรักษาจากแพทย์ ได้ยาที่ช่วยให้อาการดีขึ้น ครั้งถัดมาก็เลือกที่จะนำเอาตัวยาดังกล่าวไปหาซื้อเองตามร้านขายยา
ประเภทของยาแก้วิงเวียนศีรษะ
ยาแก้วิงเวียนศีรษะมีให้เลือกตามร้านขายยาอยู่หลายชนิด แต่ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากที่สุดคือ “ฟลูนาริซีน” (flunarizine)
ซึ่งมีชื่อทางการค้าหลากหลาย เช่น Fludan, Poli-flunarin, Sibelium, Simoyiam, Vanid และ Vertilium เป็นต้น
ตัวยาเป็นแคปซูลสีแดงเทา มีผลสำหรับรักษาอาการวิงเวียนโดยตรง และยังนิยมใช้ในกลุ่มผู้ป่วยโรคไมเกรนด้วย
การทำงานของตัวยาจะออกฤทธิ์ที่สมอง ขยายหลอดเลือด ปรับระดับสารสื่อประสาทให้สมดุล ทำให้อาการวิงเวียนค่อยๆ ดีขึ้นตามมา
การใช้ยาแก้วิงเวียนให้ปลอดภัย
ตามปกติในการใช้ยาฟลูนาริซีน ควรใช้ไม่เกิน 5-10 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้งเท่านั้น (1-2 แคปซูล) ต่อวัน หากมากเกินกว่า 1 แคปซูล ซึ่งอาจกินยาวนละ 3 ครั้ง จะเป็นการใช้ยาเกินขนาด
ทำให้เกิดภาวะข้างเคียงตามมา การใช้ยาจึงควรอยู่ในระดับต่ำ ระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ก็จะทำให้เกิดความปลอดภัย ไม่ส่งผลข้างเคียงอันตรายตามมา
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาแก้เวียนศีรษะพร่ำเพรื่อ
กรณีมีการใช้ยาพร่ำเพรื่อ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในกลุ่มผู้หญิงมากกว่าในผู้ชาย การใช้ยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
โดยไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ เสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะข้างเคียงที่พบได้บ่อย ได้แก่
1.กล้ามเนื้อลิ้นพลิก พูดไม่ค่อยชัด บังคับกล้ามเนื้อในการพูดลำบาก
2.มือสั่น เดินช้าลง จากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อลายผิดปกติ
3.มีผลต่อการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง
4.กรณีที่มีการกินยาอื่นเข้าไปแล้วไปกระตุ้นทำให้ยาฟลูนาริซีนเพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้ระบบสารสื่อประสาทในสมองผิดปกติอย่างรุนแรง กระทบต่อการทำงานของกล้ามเนื้อลายในหลายๆ จุด
Photo Credit : draxe.com
ดังนั้นการใช้ยาแก้วิงเวียนศีรษะที่เหมาะสม ควรใช้ในระยะเวลาสั้นๆ ที่เกิดอาการเท่านั้น หากใช้แล้วไม่หาย ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์
หลีกเลียงการใช้ยาในปริมาณสูง หรือการซื้อยามากินเอง เพราะอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น สามารถเป็นผลกระทบในระยะยาว
ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ป่วยตามมา ทางที่ดีควรใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์และอยู่ภายใต้ความระมัดระวังให้มากขึ้นจะดีกว่าเกิดปัญหาหนักตามมาเอาได้ค่ะ