คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน หลายคนคงยังไม่คุ้นเคยกับคำนี้ แต่สำหรับคนในวัย 40 ขึ้นไป เป็นเรื่องที่ต้องรู้และใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องของการกินอาหารอย่าง คาร์โบไฮเดรต สารอาหารชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อความต้องการร่างกาย โดยคาร์โบไฮเดรตกับ คนวัย 40 ปีขึ้นไป อาจจะดูว่าเป็นเรื่องปกติ
โดยเฉพาะคนไทยที่จะต้องมีการรับประทานคาร์โบไฮเดรตด้วยกันทุกมื้อ โดยเฉพาะคนในวัยนี้ที่ไม่ควรพลาดสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเลย
เราไปดูกันว่า คาร์โบไฮเดรตคืออะไร และมีบทบาทสำคัญอย่างไรต่อร่างกายบ้าง
คาร์โบไฮเดรต คืออะไร?
คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) เป็นสารอาหารชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกาย สามารถที่จะหาได้จากอาหารชนิดต่างๆ
โดยเฉพาะข้าว แป้งหรือขนมปัง เป็นต้น ซึ่งสารอาหารชนิดนี้จะช่วยให้พลังงานต่อร่างกายเพื่อนำไปใช้ในการทำกิจกรรมประจำวัน
เพราะหากร่างกายขาดซึ่งคาร์โบไฮเดรตแล้ว ย่อมทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย สมองมึนเบลอ และไม่มีเรี่ยวแรงได้นั่นเอง
คาร์โบไฮเดรตแบ่งได้ 2 ชนิด ดังนี้
คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว : เป็นชนิดที่คนส่วนใหญ่ได้รับประทานกันอยู่ทุกวัน อย่างเช่น แป้งที่ผ่านการขัดสีให้เป็นสีขาว
ดังที่เรามักจะเห็นกันในรูปแบบข้าวขาว ขนมปังขาว หรือแป้งที่ผ่านการแปรรูปและแม้กระทั่งน้ำตาล
คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน : เป็นชนิดที่ไม่ค่อยจะได้รับประทานกันบ่อยๆ เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชไม่แปรรูป ขนมปังธัญพืช มัน และเผือก
ข้อดีของการเลือกทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
การทานอาหารประเภทกลุ่มที่ให้คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะมีผลดีต่อสุขภาพในด้านต่างๆ ดังนี้
พลังงาน : คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนสามารถที่จะให้พลังงานกับร่างกายได้มาก อย่างเช่นเมื่อทำงานกลับมาอาจจะรู้สึกเหนื่อยล้า
เนื่องจากสูญเสียพลังงานไป เพราะฉะนั้นแนะนำว่าควรที่จะต้องรับประทานธัญพืชเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมคาร์โบไฮเดรตทันทีช่วยให้มีพลังงานมากยิ่งขึ้น
ระบบย่อยอาหาร : การเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะช่วยในการพัฒนาระบบย่อยอาหารให้มีประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนมีส่วนประกอบของเส้นใยจึงสามารถที่จะช่วยในการย่อยอาหารได้ดี โดยอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ได้แก่ ถั่ว ธัญพืช
ระบบเผาผลาญ : คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนสามารถที่จะช่วยพัฒนาระบบเผาผลาญให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้เช่นเดียวกัน
เพราะคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนและมีสารอาหารที่เหมาะสม โดยสามารถช่วยให้ระบบภายในร่างกายพัฒนาได้อย่างสมดุล
นอกจากนี้ ยังมีเส้นใยที่สามารถทำให้อิ่มได้อย่างยาวนาน จึงเป็นอาหารที่เหล่าคนลดน้ำหนักนิยมทานกันเป็นอย่างมากทีเดียว
การนอนหลับ : คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่จะช่วยพัฒนาการนอนหลับ เพราะเป็นตัวช่วยกระตุ้นฮอร์โมนเมลาโทนินภายในร่างกาย
ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จะช่วยในเรื่องของการนอนหลับนั่นเอง และยังทำให้นอนหลับได้อย่างยาวนานมากยิ่งขึ้น
ระบบสมอง : คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเป็นสารอาหารที่จะช่วยบำรุงสมอง และยังช่วยพัฒนาในเรื่องของฮอร์โมนที่จะส่งผลต่ออารมณ์ทำให้อารมณ์ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ความแตกต่าง ระหว่างคาร์โบไฮเดรตธรรมดาและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
คาร์โบไฮเดรตธรรมดา : คาร์โบไฮเดรตธรรมดาเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะกลายเป็นน้ำตาล ซึ่งถ้ารับประทานในปริมาณมากเกินไป
จะส่งผลทำให้เกิดการสะสม เพราะสามารถย่อยสลายเพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งได้แก่ น้ำตาลทราย นม น้ำผึ้ง
ล้วนแล้วแต่มีส่วนผสมของคาร์โบไฮเดรตแบบธรรมดาทั้งสิ้น หากทานแล้วจะทำให้อ้วนง่ายแน่นอน
คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน : คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนมักจะได้จากอาหารที่มีเส้นใย เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ธัญพืช ข้าวโอ๊ต ฯลฯ
ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายต้องใช้ระยะเวลาในการย่อยนาน ด้วยเหตุนี้ จึงส่งผลทำให้อิ่มนานมากยิ่งขึ้นและลดการเพิ่มปริมาณน้ำตาลให้กับร่างกาย
สาเหตุที่คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนสามารถที่จะย่อยได้ช้ากว่าคาร์โบไฮเดรตธรรมดา นอกจากมีส่วนประกอบจากเส้นใยอาหารแล้ว ก็เพราะว่ามีขนาดโมเลกุลที่ใหญ่กว่าด้วยนั่นเอง
แหล่งอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
สำหรับใครที่ต้องการทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน คุณสามารถหาทานได้จากอาหารเหล่านี้
1.ข้าว ข้าวถือเป็นอาหารหลักสำหรับคนไทย เพราะจะอยู่คู่กับเมนูอาหารแทบทุกมื้อ แต่การเลือกข้าวที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
แนะนำเป็นข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ เนื่องจากเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ยังไม่ผ่านการแปรรูปหรือขัดสี
ซึ่งนอกจากจะมีปริมาณของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนตามที่ร่างกายต้องการแล้ว ยังมีในส่วนของเส้นใย และสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
แต่หากเป็นข้าวขัดสีก็จะมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตมากเช่นกัน แต่เป็นคาร์โบไฮเดรตแบบธรรมดา และมีปริมาณน้ำตาลมากกว่าที่ร่างกายต้องการ
2.ข้าวโอ๊ต ข้าวโอ๊ตเป็นทางเลือกของอาหารเช้าสำหรับคนยุคใหม่ โดยข้าวโอ๊ตเองถือเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนอีกหนึ่งชนิด
ซึ่งก็จะมีทั้งใยอาหาร ที่จะช่วยสร้างสมดุลให้กับระบบย่อยอาหารภายในลำไส้ ช่วยลดไขมันภายในร่างกายและให้พลังงาน โดยสามารถทำให้อิ่มได้ถึงมื้อกลางวัน
3.ควินัว เป็นธัญพืชอีกหนึ่งชนิดที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โดยมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ
อย่างเช่น แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โฟเลต ทองแดง เหล็ก และยังเป็นแหล่งโปรตีน เหมาะที่จะนำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย
4.ราสเบอรี่ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่เหมาะที่จะนำไปทำน้ำปั่นเพื่อสุขภาพ เพราะมีรสชาติหวาน ที่สำคัญยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ แร่ธาตุและวิตามินต่างๆ หลายชนิด
อีกทั้งยังเป็นผลไม้ที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสารอาหารที่จะช่วยในเรื่องของการป้องกันและต่อต้านการเกิดมะเร็งในร่างกายได้เป็นอย่างดี
5.กีวี่ ผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ที่สำคัญยังมีปริมาณวิตามินซีที่ร่างกายต้องการได้มากกว่าส้ม
เป็นผลไม้ที่เหมาะจะนำไปทำสลัดหรือจะเลือกรับประทานในช่วงอาหารว่างก็ได้
6.ถั่วเลนทิล ถั่วเลนทิลเพียงแค่ 1 ถ้วย สามารถที่จะให้ใยอาหารได้ถึง 16 กรัม นอกจากนี้ ยังได้รับโปรตีนถึง 30 เปอร์เซ็นต์
และยังมีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โฟเลต แมงกานีส และสารอาหารอื่นๆ อีกมาก
7.ถั่วดำ เป็นตระกูลถั่วอีกหนึ่งชนิดที่มีปริมาณไฟเบอร์มากพอๆ กับถั่วเลนทิล มีเหล็ก และสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยในเรื่องของการป้องกันสารก่อมะเร็งในร่างกาย
8.ผักคะน้า ผักคะน้าถือเป็นผักที่มีปริมาณแคลอรี่ต่ำ แต่ก็ยังมีปริมาณของวิตามินและแร่ธาตุที่เหมาะสมต่อร่างกาย ที่สำคัญยังเป็นผักที่สามารถนำมาทำเป็นน้ำปั่นดื่มบำรุงสุขภาพได้อีกด้วย
ข้อควรระวัง
ถึงแม้ว่า คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะเป็นสารอาหารที่ดีต่อร่างกาย แต่ก็ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเช่นกัน
เพราะอย่างไรแล้วก็ขึ้นชื่อว่าคาร์โบไฮเดรต อันเป็นแหล่งพลังงานและเป็นแป้ง โดยเฉพาะคนที่ต้องการลดน้ำหนักหรือเพื่อป้องกันการเกิดโรคอ้วน
ไม่ควรทานในปริมาณที่มากเกินไป เพราะไม่เช่นนั้น ก็อาจจะทำให้เกิดการสะสมของปริมาณไขมันภายในร่างกาย และก่อให้เกิดความเสี่ยงของการเป็นโรคอื่นๆ ตามมาด้วยได้
Credit : sozcu.com.tr
คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เป็นสารอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกายไม่แพ้สารอาหารชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะในด้านของการให้พลังงาน
ทำให้ร่างกายมีเรี่ยวแรงและบำรุงประสาทสมอง ดังนั้น จึงไม่ควรงดหรือหลีกเลี่ยงการทานคาร์โบไฮเดรตอย่างเด็ดขาด
โดยเฉพาะ คนวัย 40 ที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก แนะนำให้ทานคาร์โบไฮเดรตประเภทนี้อย่างเพียงพอทุกมื้อเพื่อเสริมสุขภาพให้แข็งแรงนั่นเอง