วิธีลดน้ําหนักง่ายๆ แต่ผิดหลักการ เสี่ยงระบบเผาผลาญพังไม่รู้ตัว !

วิธีลดน้ําหนักเร่งด่วน

ภาวะระบบเผาผลาญพัง (Metabolic Damage) เป็นสิ่งที่เราสามารถพบได้ในกลุ่มคนที่หันมาสนใจวิธีลดน้ําหนักแบบต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังมา

บางอย่างเป็นข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้ แต่บางอย่างก็เป็นความเชื่อแบบผิดๆ ที่สั่งสมกันมา

เมื่อการออกกำลังกายร่วมกับการควบคุมอาหารผิดวิธี หรือแม้กระทั่งการใช้อาหารเสริมและยาลดความอ้วนที่ล้วนเป็นตัวการทำให้ระบบเผาผลาญของร่างกายผิดปกติ

เราจึงมักได้ยินเรื่องระบบเผาผลาญที่เกิดความพังพินาศกันบ่อยขึ้น แม้จะเห็นว่าคนหันมาดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกายมากขึ้นก็ตามที

ใครอยากรู้ว่าปัญหานี้เป็นผลกระทบที่น่ากังวลใจมากแค่ไหน ลองมาทำความรู้จักกับสิ่งนี้

ก่อนจะสายเกินแก้ พร้อมหันมาออกกำลังกายลดความอ้วนอย่างถูกวิธี จะได้ผอมสวยดั่งใจได้ค่ะ

วิธีลดน้ําหนักเร่งด่วนกับปัญหาระบบเผาผลาญพัง

เราอาจจะรู้สึกดีใจเมื่อพบว่าน้ำหนักสามารถลดลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งบางคนสามารถลดได้ 4 กิโลกรัมต่ออาทิตย์

ดูเหมือนจะเป็นเรื่องน่ายินดี แต่นี่กลับเป็นสิ่งอันตรายอย่างยิ่งที่พร้อมจะทำลายระบบการเผาผลาญอาหารให้เสียหายอย่างมหาศาล

เพราะตามธรรมชาติ หากออกกำลังกายและกินอาหารอย่างถูกวิธี เราจะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัย

โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2-3 กิโลกรัมต่อเดือน แต่รูปร่างของสาวๆ จะสมส่วนและกระชับมากขึ้น เนื่องจากปริมาณไขมันลดลง ถูกแทนที่ด้วยกล้ามเนื้อ

แต่สำหรับคนที่ใช้วิธีลดน้ําหนักเร่งด่วนจนเกินไป จะทำให้เกิดปัญหาระบบเผาผลาญพัง

ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับด้วยกันคือ

1.Metabolic Compensation

เป็นช่วงที่ระบบเผาผลาญเริ่มเข้าสู่การปรับตัวใหม่ ขณะที่ร่างกายเข้าสู่โปรแกรมการลดน้ำหนัก

แน่นอนว่าสาวๆ จะต้องมีการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และกินอาหารน้อยลงจากเดิมประมาณครึ่งหนึ่ง

เป็นตัวการทำให้ร่างกายเกิดความเครียดแบบ “เริ่มต้น” การตอบสนองจะแดสออกมาเป็นการลำเลียงนำเอาพลังงานสำรองออกมาใช้

ซึ่งมีศูนย์การสั่งงานที่สมองส่วนไฮโปรธาลามัสและพทูอิทารี่ไปยังต่อมไทรอยด์และต่อมหมวกไต

รวมถึงรังไข่ ส่งผลให้ฮอร์โมนทำงานเชื่อมต่อกัน มีการดึงไขมันออกไปใช้ แต่มีการสร้างกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นมาด้วยเป็นบางครั้ง

แม้จะดูเหมือนให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ทราบหรือไม่ว่าหากเกิดภาวะความเครียดที่กดดันร่างกายแบบนี้ติดต่อกันนานเป็นสัปดาห์

ระบบเผาผลาญจะเกิดความเคยชิน ปรับตัวเข้าสู่โหมดการเผาผลาญที่ต่ำลง ทำให้รู้สึกหิว

อยากอาหาร เรี่ยวแรงเปลี่ยนไปจากเดิม และสิ่งที่ตามมาคือระดับฮอร์โมนไทรอยด์ลดลง

เป็นเหตุให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ช้าลง จนแทบไม่ทำงานเลย

อย่างไรก็ตามในระดับนี้ระบบเผาผลาญจะมีการลดการทำงานลงแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน

ซึ่งอาจจะเผาผลาญได้น้อยลงตั้งแต่ 500 ไปจนถึง 900 กิโลแคลอรี่/วัน เลยทีเดียว ส่งผลให้น้ำหนักตัวหยุดนิ่ง หรือน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น

2.Metabolic Resistance

เมื่อการลดน้ำหนักผิดวิธีและติดต่อกันเป็นเวลานาน สิ่งที่ตามมาคือปัญหาการต่อต้านระบบเผาผลาญ

ซึ่งเมื่อร่างกายเกิดการเผาผลาญที่ต่ำลง มันจะมีคนที่พยายามทำให้ระบบเผาผลาญทำงานต่อเนื่อง

เป็นการกระตุ้นระบบเผาผลาญให้มากขึ้น ด้วยการออกกำลังกายให้หนัก

ตัดปริมาณแคลอรี่จากอาหารให้น้อยลงกว่าเดิมจากที่น้อยอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้เห็นผลในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

แต่ภายหลังจากนี้ ร่างกายจะเกิดความคุ้นชินอีกครั้ง มีการป้องกันตัวเองเพื่อไม่ให้ระบบเผาผลาญพลังงานลดลงมากไปกว่านี้

เป็นกระบวนการเอาตัวรอดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ร่างกายจะเริ่มสะสมไขมันและกล้ามเนื้อใหม่

สังเกตได้ว่าในระยะนี้จะรู้สึกหิวบ่อย ร่างกายอยากพักมากขึ้น มีความอยากอาหาร ไม่มีแรง วิตกกังวล ซึมเศร้า

ไม่มีสมาธิ และกระวนกระวายโดยไม่ทราบสาเหตุ ในระดับนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ออกกำลังกายและควบคุมอาหารแบบไม่สมดุล

ดังที่กล่าวไปคือกินน้อย แต่ออกกำลังกายหนักมากจนเกินไปนั่นเอง

3.Metabolic Damage

ระดับรุนแรงที่สุดในการลดน้ำหนักที่จะทำให้ความตั้งใจทั้งหมดที่ทำมาไม่ประสบความสำเร็จ

เพราะในระยะนี้เข้าสู่ระดับที่ว่า “ระบบเผาผลาญพัง” ! อย่าแท้จริง แม้จะพยายามฝืนต่อไป

ก็จะไม่สามารถทำให้น้ำหนักลงได้แล้ว อย่างไรก็ตามในระดับนี้มักจะเป็นระดับที่พบได้น้อย

แต่คนที่มาถึงจะอยู่ในกลุ่มที่ไม่สนใจสัญญาณเตือนจากร่างกายของตัวเองเลย

โดยพยายามที่จะดันทุรังในการลดน้ำหนักต่อไป แม้น้ำหนักจะไม่ลงก็ตาม ก็ยังพยายามด้วยวิธีเดิม

ในที่สุดก็จะเกิดเป็นอาการผิดปกติของระบบต่างๆ ของร่างกายตามมา

เช่น ระบบความผิดปกติของระบบประสาท และความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันเป็นต้น

การแก้ไขวิธีลดน้ําหนักที่ทำให้ระบบเผาผลาญพัง

ในขั้นตอนการรักษา กรณีที่ร่างกายมีการเข้าสู่ระดับ Metabolic Damage คือค่อยๆ ลดความเครียดของร่างกายให้น้อยลง

โดยการกลับไปแก้ไขวิธีการออกกำลังกายและการกินอาหารใหม่

ซึ่งในช่วงนี้ระดับเผาผลาญของสาวๆ จะอยู่ในอัตราที่ต่ำมากๆ ดังนั้นหัวใจสำคัญในการปรับแก้คือ

1.หลีกเลี่ยงการกินน้อยจนเกินไป

2.ออกกำลังกายให้น้อยลง

3.กินอาหารให้ครบ 3 มื้อ และสองในสามควรจะเป็นโปรตีนประมาณ 30-50 กรัม

วิธีลดน้ําหนัก

Photo Credit : muscleevo.net

ด้วยวิธีการแก้ไขวิธีลดน้ําหนักที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้จะไม่สามารถช่วยทำให้ระบบเผาผลาญกลับมาเป็นปกติได้ในทันที

จะต้องใช้ระยะเวลาที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือออกกำลังกายและกินอาหารให้พอดี

ไม่ควรอดอาหารหรือออกกำลังหักโหม แค่เดินบนทางสายกลาง ก็จะช่วยให้สาวๆ มีหุ่นที่สวยและสุขภาพดีแล้วล่ะค่ะ